ความหมายของรอยสัก และ เรื่องราวเบื้องหลังของ ชาริล ชัปปุยส์

ถ้าหากพูดถึงหนึ่งในกิจกรรมของบรรดาเหล่าหนุ่ม ๆ ที่เราเชื่อว่าน่าจะมีหลาย ๆ คนชื่นชอบ และ มักจะใช้มันเป็นเรื่องในการออกกำลังกายอยู่เสมอ ๆ นั่นก็คือ การเตะฟุตบอล นั่นเอง ซึ่งกีฬาอย่างฟุตบอลนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ค่อนข้างได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเราสามารถดูได้จากการตอบรับจากการจัดแข่งขันฟุตบอลโลกที่ผ่านมา 

และแน่นอนว่าประเทศไทยของเราเองก็มี ฟุตบอลทีมชาติไทยเช่นกัน ซึ่งนักเตะส่วนใหญ่นั้นก็มาจากบรรดาเหล่าสโมสรดัง ในลีก และหนึ่งในนักเตะที่เคยติดทีมชาติไทย และ กลายเป็นที่รู้จักของใครหลาย ๆ คนเนื่องจากหน้าตาของเขาค่อนข้างหล่อเอามาก ๆ นั่นก็คือนักเตะอย่าง ชาริล ชัปปุยส์

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ในตอนนั้นหลาย ๆ คนต่างก็ให้ความสนใจ แถมเขาคนนี้ก็ยังเป็นอีกหนึ่งนักเตะไทยที่ชื่นชอบศิลปะอย่างรอยสักเช่นกัน จนทำให้เขาค่อย ๆ เพิ่มลวดลายต่าง ๆ ลงบนร่างกายของเขา 

และนั่นเองจึงทำให้ในครั้งนี้เราจะขอพาทุก ๆ คนไปพบกับ ความหมายของรอยสัก และ เรื่องราวเบื้องหลังของ ชาริล ชัปปุยส์ กัน ซึ่งมันจะมีที่มาอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่าเราไปเริ่มกันเลย

ซึ่งถ้าให้นับกันตั้งแต่วันแรกที่ตัวของ ชาริล ชัปปุยส์ ได้ก้าวเท้าเข้าสู่วงการฟุตบอลไทย ชื่อของเขาคนนี้ก็กลายเป็นชื่อที่ทำให้บรรดาเหล่าแฟนบอลได้รู้จักกันมานานหลายปีแล้ว โดยตัวของเขานั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็มองว่าอนาคตไกลมาก และการแข่งขันต่าง ๆ ก็ได้ขัดเกลาตัวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวของเขาก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งดาวเด่นในสนามของวงการฟุตบอลไทย

แต่นอกจากฝีมือในสนามที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ หลาย ๆ คนก็เริ่มสังเกตว่ารอยสักบนตัวของ ชาริล ชัปปุยส์ เองก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาเช่นกัน ซึ่งบางอย่างก็พอที่จะเดาความหมายได้จากตาเปล่า แต่รอยสักบางอย่างของเขาก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสงสัย และถ้าหากวัดกันจริง ๆ ตัวของเองก็น่าจะเป็นคนที่มีรอยสักอยู่บนร่างกายอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยเลยทีเดียว 

รอยสักแรกของชาริล ชัปปุยส์

รอยสักแรกของ ชาริล ชัปปุยส์ ได้แรงบันดาลใจมาจากพี่สาวของเขาที่เกิด และ เติบโตมาด้วยกัน และตัวพี่สาวของเขาก็มีรอยสัก ซึ่งเจ้ารอยสักนั้นนี่เองที่ทำให้ตัวของ ชัปปุยส์ ชื่นชอบเป็นอย่างมาก จนทำให้เขาถึงกับเอ่ยปากกับครอบครัวของเขาเลยว่า ถ้าเขาอายุมากถึงพอ เขาอยากจะสัก แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพูดไปอย่างนั้นก็ตาม แต่ทว่าตัวของเขาก็ยังไม่ได้จริงจังกับเรื่องราวของการสักเท่าไหร่ จนกระทั่งถึงตอนอายุ 17 และ ได้มีโอกาสเล่นให้กับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ชุดเยาวชน แถมในการเล่นครั้งนั้นเขายังสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศอย่าง World Cup U-17 ที่ไนจีเรียมาครองได้สำเร็จอีกด้วย

ซึ่งหลังจากการแข่งนั้นจบลง เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อของเขาก็ได้เอ่ยปากตอบรับคำขอของเขา โดยพ่อของเขาได้บอกว่าถ้าตัวของ ชัปปุยส์ ต้องการมีรอยสักจริง ๆ พ่อจะเป็นคนออกค่าสักรอยแรกให้ และนั่นเองจึงทำให้ทั้งคู่ขับรถออกหาร้านสักกันจนทั่วเมืองซูริกจนกระทั่งไปจบที่สตูดิโอหนึ่งเขา 

ตอนนั้นตัวของ ชาริล ต้องการที่จะสักอะไรซึ่งเกี่ยวกับการที่เขาได้มีโอกาสเล่น World Cup และนั่นเองก็ทำให้เขาได้สัก วัน เดือน ปี  ของการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ โดยไม่จำเป็นออกแบบอะไรให้ซับซ้อน และนั่นก็คือที่มาของรอยสักแรกอย่าง 15 เดือนพฤศจิกายนปี 2009 ที่อยู่บริเวณแขนด้านซ้ายของเขานั่นเอง

เกณฑ์ในการเลือกรอยสักของชาริล ชัปปุยส์

ตัวของ ชัปปุยส์ คิดว่าจริง ๆ แล้วคนที่มีรอยสักนั้นไม่ได้เลวร้ายอะไร แถมเขายังรู้สึกว่าพวกคนที่มีรอยสักเหล่านั้นดูเท่ เนื่องจากรอยสักนั้นคือการแสดงตัวของแต่ละคนที่สามารถมองเห็นได้ทันที ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับทรงผมเลย แถมอีกอย่างไอดอลในวงการฟุตบอลของเขานั่นก็คือ เดวิด เบ็คแฮม ซึ่งเขาเองก็มีรอยสักเต็มร่างกาย มันจึงกลายเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากมีรอยสักเช่นกัน

ส่วนเกณฑ์ในการเลือกลวดลายที่จะสักของ ชัปปุยส์ นั้นเอาจริง ๆ แล้วมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งในตอนเด็ก ๆ นั้นตัวของเขามีไอเดียต่าง ๆ ที่จะสักมากมาย แต่ทว่าพอโตขึ้นมันก็ทำให้เขาเริ่มคิดมากขึ้นที่จะสัก เพราะว่ารอยสักเหล่านั้นมันจะอยู่บนร่างกายของเขาตลอดไป และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทโนโลยีที่สามารถลบรอบยสักได้ก็ตามที แต่มันก็ให้ความเจ็บมากกว่าตอนสักมาก ๆ ดังนั้นจึงทำให้ตัวของเขาเลือกรอยสักที่สามารถเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของเขาได้ และ มันจะต้องเป็นความจริงของตัวเขาไปตลอดนั่นเอง

รอยสักที่เกี่ยวกับฟุตบอลของชาริล ชัปปุยส์

รอยสักที่เกี่ยวข้องกับโลกของฟุตบอลนั้นก็มีค่อนข้างเยอะ อย่างบริเวณแขนซ้ายของเขานั้นจะมีการสักเป็นหน้าของ Joker Face และ Sad Face เอาไว้ ซึ่งรอยสักนี้จะเป็นการเล่าถึงเรื่องราวในตอนที่เขาบาดเจ็บหนักครั้งแรกในช่วงเวลาประมาณครึ่งปีหลังจาก World Cup ซึ่งในตอนนั้นตัวของ ชัปปุยส์ ได้มีอาการกระดูกเท้าแตก มันจึงทำให้รอยสักนี้เปรียบเสมือนการย้ำเตือนว่าตัวของเขานั้นมีช่วงเวลาที่ดี และ ช่วงเวลาที่แย่

ส่วนบริเวณขาของเขาเองก็มีรอยสักที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลที่เขารักเช่นกัน โดยรอยสักนั้นก็คือรูปการ์ตูนอย่างซึบาสะที่กำลังจะปั่นฟรีคิก และมีบรรดาเหล่าการ์ตูนอย่าง โกคู ปิกาจู ซิมป์สัน โดนัลด์ดั๊กเป็นกำแพง และยังมีมีสไปเดอร์แมนเป็นผู้รักษาประตูด้วย มันจึงทำให้รอยสักนี้เป็นเสมือนกับความตั้งใจในวัยเด็กของเขา

นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีรอยสักที่ไม่ได้เกี่ยวข้องฟุตบอลอยู่บนร่างกายด้วย โดยบริเวณต้นขาขวาของเขาซึ่งเขาเลือกให้เป็นตัวแทนของแม่เขาก็ได้สักเป็นสัญลักษณ์ทีมชาติไทยเอาไว้ ส่วนบริเวณต้นขาด้านซ้ายเขาได้เลือกให้เป็นตัวแทนของพ่อด้วยการสักเป็นรูปหมาป่า และ ภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์

มุมมองต่อรอยสักของชาริล ชัปปุยส์

และด้วยความที่เขาเป็นลูกครึ่งนั้นเอง จึงทำให้หลาย ๆ คนอยากรู้ถึงคุณค่าการมองคนที่สักของเขา โดยบอกว่า สำหรับประเทศบ้านเกิดของเขาอย่างสวิตเซอร์แลนด์การสักนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติมาก ๆ แถมตัวแม่ของเขาที่เป็นชาวไทยก็ยังไม่ได้ห้ามความคิดในการสักของเขา เพราะทางฝั่งแม่ได้บอกว่ามันคือสิทธิในร่างกายของเขา ส่วนสำหรับฝั่งพ่อ และ พี่สาวนั้นชื่นชอบศิลปะแขนงนี้อยู่แล้ว จึงทำให้การมีรอยสักไม่ใช่เรื่องแปลก และบรรดาเหล่าเพื่อน ๆ ของเขาเองก็มีรอยสักเช่นกัน แต่มันจะมีผลอยู่นิดหน่อยนั่นก็คือ เวลาที่เขาไปญี่ปุ่นนั้นเขาไม่สามารถแช่ออนเซ็นได้นั่นเอง

ส่วนในแง่ของการเล่นกีฬานั้น รอยสักก็ถือได้ว่ามีอุปสรรคอยู่นิดหน่อย เนื่องจากรอยสักรอยหนึ่งนั้นจำเป็นที่จะต้องอาศัยระยะเวลาในการให้บาดแผลหายสนิท ดังนั้นมันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สักจะต้องการเวลาพักฟื้น แต่สำหรับโลกฟุตบอลแล้วมันไม่มีเวลาให้ขนาดนั้น เพราะว่าเขาต้องซ้อม ขยับ และ ปะทะตลอดเวลา จึงทำให้การสักในช่วงระหว่างฤดูกาลแข่งนั้นเป็นเรื่องยาก และนั่นจึงทำให้เขามักจะเลือกสักในส่วนปิดฤดูกาลเสียมากกว่านั่นเอง และส่วนแขนขวาที่ ชาริล ชัปปุยส์ ปล่อยโล่งเอาไว้ยังไม่สักนั่นก็เพราะว่า เขาต้องการจะเก็บแขนข้างนี้ไว้สำหรับรอยสักของครอบครัวในอนาคตของเขานั่นเอง

และนี่ก็คือ ความหมายของรอยสัก และ เรื่องราวเบื้องหลังของ ชาริล ชัปปุยส์ ผู้เล่นทีมชาติไทยที่ไม่ได้มีดีเพียงแค่หน้าตาเท่านั้น