กว่าที่จะกลายมาเป็นรอยสักในปัจจุบันที่เราได้เห็นกันนั้นมันมีการพัฒนาหลากหลายรูปแบบเป็นอย่างมาก จนทำให้ในที่สุดรอยสักดังกล่าวก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนใช้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และกาลเวลาดังกล่าวก็นำพาอีกหนึ่งรอยสักที่สร้างความมั่นใจให้กับสาว ๆ หนุ่ม ๆ หลายคนมา โดยรอยสักแบบนั้นก็คือ รอยสักแบบสีน้ำ หรือชื่อย่างเป็นทางการนั่นก็คือ Water Color Tattoo นั่นเอง และในวันนี้เราจะมาหาถึงเรื่องราวต้นกำเนิดรอยสักแบบสีน้ำกัน
ก่อนอื่นเราจะมาพูดให้ทุกคนได้ทราบถึงกันก่อนว่าทำไมรอยสักแบบสีน้ำถึงได้กลายเป็นที่นิยมสำหรับสาว ๆ นั่นก็เพราะว่ารอยสักชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นรอยสักที่สามารถทำออกมาแล้วดูน่ารัก และ ดูไม่ดุดัน ไม่เหมือนกับรอยสักชนิดอื่น ๆ ที่เพียงแค่ลงสีเข้มขึ้นมาหน่อยมันก็กลายเป็นดูฮาร์ดคอร์ขึ้นมาเสียแล้ว ดังนั้นมันจึงทำให้ลายสักสีน้ำกลายเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างน่าสนใจ เนื่องจากมันมีสีสันที่สดใส แถมยิ่งเราทำให้มันมีความฟุ้ง รวมถึงสีสันละมุนเท่าไหร่มันก็จะยิ่งดูมีสไตล์มากขึ้นเท่านั้น มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรอยสักแบบนี้ถึงกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมา
ทำไมรอยสักสีน้ำถึงฮิตในยุคปัจจุบัน
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ในปัจจุบันรอยสักสีน้ำนั้นกลายเป็นสิ่งหลาย ๆ คนชื่นชอบเนื่องจากสีน้ำนั้นมันเปรียบเสมือนกับความสดใส สวยงาม อีกทั้งลักษณะเฉพาะตัวของสีน้ำเหล่านี้มันยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์แบบสุด ๆ โดยเราจะเห็นได้จากการที่มีหลาย ๆ คนยอมควักเงินออกจากกระเป๋าหลายแสน หลายล้านบาท เพื่อประมูลภาพวาดสีน้ำของเหล่าศิลปินชื่อดังมาประดับไว้ที่บ้านของตัวเอง หรือบางคนเองก็ยังยอมที่จะลงทุน ลงแรงเพื่อไปเรียนวิชาวาดภาพระบายสีน้ำในแบบทีตัวเองต้องการกันอีกด้วย
และเพราะความเฉพาะตัวเหล่านี้มันจึงไม่แปลกที่เมื่อไหร่ก็ตามสิ่งเหล่านี้สามารถเอาลงบนสู่ผิวกายของเราได้ มีเหรอที่หลาย ๆ คนจะไม่ทำกัน เพราะว่าวิธีการเหล่านี้มันทำให้คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินหลายแสนหลายล้านเพื่อไปประมูลภาพเหล่านั้นแข่งกับคนอื่น หรือ คุณไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาซื้อสีน้ำมาเพื่อเพ้นท์ร่างกายตัวเองแล้วไม่กี่วันก็จางหายไป นอกจากนั้นแล้วคุณยังไม่ต้องจำเป็นต้องไปลงทุนเรียนศิลปะเพิ่มอีกด้วย
จุดเริ่มต้นของรอยสักสีน้ำ
โดยสิ่งที่ทำให้รอยสักแบบสีน้ำนั้นเกิดมานั่นก็เพราะว่าการจินตนาการว่าร่างกายของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนกับกระดาษวาดภาพจริง ๆ และการสักแบบสีน้ำก็สามารถที่จะเลือกทั้งรูป และ ขนาดได้ตามที่หลาย ๆ คนต้องการ ซึ่งจินตนาการของสีน้ำสำหรับการสักในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่ามันพัฒนามาจากของเดิมที่เป็นแบบอักษรโบราณค่อนข้างมาก โดยเราจะขอลำดับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้หลาย ๆ คนได้ดูกัน นั่นก็คือ รอยสักแบบแรก ๆ ที่ปรากฏขึ้นประวัติศาสตร์นั่นก็คือรอยสักประเภทตัวอักษรนั่นเอง และหลังจากที่ตัวอักษรเหล่านั้นพัฒนามาจนถึงขีดสุดแล้ว มันก็ได้เริ่มมีการพัฒนาไปทางอื่นมากขึ้น โดยมักจะออกมาแนวทางภาพเสมือนจริง ซึ่งภาพเสมือนจริงเหล่านั้นเองก็มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่เป็นภาพที่เป็นการใช้สีสันเดียว ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาการใช้สีขึ้น
และเมื่อมีการพัฒนาการใช้สีเหล่านั้นมันก็เริ่มมีการพัฒนาการใช้สีสังเคราะห์ในรูปแบบต่าง ๆ ออกมา และนั่นเองก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้สีสันต่าง ๆ ถูกนำมาใช้ในรอยสักมากขึ้น ซึ่งเมื่อมีการเล่นสีสันมากขึ้นแล้ว หลาย ๆ คนก็เริ่มมีแนวคิดในการใช้สีแตกต่างกัน โดยบางคนเองก็ต้องการที่จะใช้สีเหล่านั้นสร้างสรรค์รูปที่มีความเสมือนจริงมาก ๆ ขึ้นมา แถมรอยสักเสมือนจริงเหล่านั้นยังเริ่มได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างจากบรรดาเหล่าวัยรุ่นมากขึ้น
และหลังจากที่รอยสักแนวสมจริงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ รอยสักสีน้ำก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาต่อมา ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วคนที่คิดสไตล์นี้คนแรกนั้นไม่ได้มีใครระบุเอาไว้ แต่ทว่ามันมีจุดเริ่มต้นจากการที่มีคนอยากที่จะจำลองภาพวาดสีน้ำที่มีสีสันสดใสซึ่งเคยเห็นในพิพิธภัณฑ์ หรือ มิวเซียม รวมถึงภาพวาดต่าง ๆ มาไว้บนร่างกายของตัวเองแทนที่จะเลือกภาพวาดลงในกระดาษ หรือ ผ้าใบ แถมแนวคิดเหล่านั้นยังเปลี่ยนผ่านมาจากอุปกรณ์ ซึ่งปกติแล้วงานศิลปะอย่างสีน้ำนั้น สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีนั่นก็คือ พู่กัน และ จานรองสี รวมถึงพระเอกของเรื่องราวทั้งหมดนั่นก็คือ สีน้ำ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนมาอยู่บนร่างกาย
ส่วนอุปกรณ์ในการรังสรรค์ภาพวาดก็จะเปลี่ยนมาเป็นเข็มแท่งเล็ก ๆ เพียงเข็มเดียว และ พื้นที่กระดาษเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนมาลงสีบนร่างกายของคนเราแทนนั่นเอง
รอยสักสีน้ำนั้นเหมาะกับใครบ้าง ?
แต่ถึงแบบนั้นเองเทคนิคการใช้รอยสักแบบสีน้ำหรือ Water Color Tattoo นั้นมันไม่สามารถที่จะใช้ได้กับทุกคนเนื่องจากเทคนิคนี้มันค่อนข้างที่จะเหมาะคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นมากกว่า เนื่องจากรอยสักประเภทนี้มันค่อนข้างที่จะมีสีสันสดใส และ ฉูดฉาด จึงทำให้มันจะดูไม่ค่อยดีนักเมื่อมันไปอยู่กับคนที่มีอายุเยอะ เพราะส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ที่มีอายุเยอะจะเหมาะกับอะไรที่ดูจริงจัง เช่นรอยสักแบบสมจริงมากกว่า นอกจากนั้นแล้วรอยสักแบบสีน้ำยังค่อนข้างเน้นไปที่การกระจายตัวของสีดังนั้นมันจึงไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่หากมันอยู่บนร่างกายที่ค่อย ๆ หย่อนคล้อยไปตามกาลเวลา
นอกจากนั้นแล้วปัญหาอีกอย่างที่มักจะเกิดขึ้นกับรอยสักสีน้ำนั่นก็คือ รอยสักชนิดนี้มันไม่ได้เหมาะกับสภาพผิวของทุก ๆ คน โดยอย่างที่เราได้บอกเอาไว้ว่ารอยสักชนิดนี้มันเป็นรอยสักที่ค่อนข้างให้สีสันสดใส และ แน่นอนว่าใครก็ตามที่เลือกจะสักรอยสักชนิดนี้ก็ต้องการที่จะให้รอยสักชนิดนี้มีความสดใส และ ดูเปล่งประกายออกมา ดังนั้นผิวที่เหมาะสมที่สุดในการสักรอยสักชนิดนี้ก็คือ คนที่มีผิวขาว เพราะว่าความขาวของผิวนั้นช่วยขับให้รอยสักของคุณเปล่งประกายออกมาได้มาก แต่ในทางกลับกันเมื่อลักษณะผิวขอคุณมีสีแทน รอยสักที่สวยสดใสของคุณจะถูกดรอปลงจากสีผิว และแน่นอนว่ามันอาจทำให้คุณผิดหวัง เนื่องจากสีเหล่านั้นไม่อาจที่จะเปล่งประกายได้ตามที่คุณหวังเอาไว้นั่นเอง
ซึ่งหลาย ๆ คนอ่านมาถึงตรงแล้วอาจจะทราบแล้วว่ารอยสักน้ำนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรอยสักหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน ดังนั้นเราจึงยังไม่สามารถที่จะการันตีได้ว่ารอยสักนี้มันจะยืนระยะอยู่กับคุณได้ยาวนานขนาดไหน เพราะว่ารอยสักแบบสีน้ำส่วนใหญ่แล้วช่างสักจะไม่ได้กดเข็มลงไปในผิวหนังลึกเหมือนกับรอยสักชนิดอื่น ๆ และเมื่อเข็มไม่ได้ลงลึกไปในผิวหนังมากนัก คนที่สักบ่อย ๆ ก็น่าจะรู้ดีว่ารอยสักเหล่านี้ก็มีโอกาสที่มันจะซีดจางเร็วกว่ารอยสักแบบปกติทั่วไป เนื่องจากเม็ดสีไม่สามารถลงลึกไปในชั้นผิวหนังได้มากนั้น มันจึงมีโอกาสที่เวลาเซลล์หนังกำพร้ามีการผลัดเปลี่ยนใหม่ สีที่ติดอยู่บนผิวหนังเหล่านั้นก็จะหลุดลอกออกแล้วนั่นก็คือต้นเหตุของการทำให้รอยสักสีน้ำมีการจางลงนั่นเอง
และนี่ก็คือเรื่องราวของ ต้นกำเนิดรอยสักแบบสีน้ำ ที่เราได้นำเรื่องราวมาฝากทุก ๆ คนกัน ซึ่งรอยสักนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ใหม่ที่ค่อนข้างมาแรง แต่อย่างที่เราบอกไปว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุก ๆ คนดังนั้นเราจึงหวังว่าบทความนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจของคุณ