เราเชื่อว่าเลยว่าการจรดปลายเข็มเพื่อสร้างสรรค์ผลงานรอยสักใหม่ ๆ บนร่างกายของใครหลาย ๆ คนนั้น มันจะนำพามาซึ่งความหมายหลาย ๆ อย่าง รวมถึงมันยังเป็นการสร้างตัวตน หรือ บุคลิกใหม่ ๆ ให้กับคนนั้น ๆ ได้อีกด้วย แต่ทว่ารอยสักนั้นนอกจากการสร้างบุคลิกใหม่กับบุคคลคนนั้นได้แล้ว มันยังสามารถที่จะสร้างบุคคลิกใหม่ ๆ ให้กับสิ่งของอื่น ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งในครั้งนี้เราจะพาทุก ๆ คนไปเจอกับความแปลก เมื่อรอยสักที่ใครหลาย ๆ คนต่างมองว่ามันคือตัวแทนของความไม่ดีในสมัยกลับถูกสลักลงไปบนรูปปั้นหินอ่อนโบราณ
โดยผลงานรอยสักบนรูปปั้นโบราณนั้นถูกตั้งตะหง่านอยู่ในเมืองปิเอตราซานตา
ซึ่งเป็นเมืองทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยโจทย์ในการสร้างสรรค์ครั้งนี้นั่นก็คือ การสร้างรอยสักลงไปอยู่บนลายหินอ่อนให้ดูเหมือนกับผิวหนังของมนุษย์มากที่สุด โดยศิลปินผู้ที่มารับหน้าที่ในการสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ก็คือ Viale ซึ่งเขาคนนี้ถือได้ว่าเป็นนักประติมากรอนุรักษ์คนหนึ่งที่มีการฝึกฝนเทคนิค รวมถึงการสร้างสรรค์ผลงานอย่างประณีตตามแบบฉบับดั่งเดิมของประติมากรรมโบราณผ่านการคัดลองงานซ้ำ ๆ จนทำให้ในที่สุดตัวของเขาก็สามารถที่จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงงานต้นฉบับ
ซึ่งการที่วิเคราะห์ซ้ำไป ซ้ำมานี่แหละที่ทำให้ตัวของ Viale นั้นสามารถสื่อสารแนวคิดที่เขาต้องการออกมาผ่านทางส่วนเว้า ส่วนโค้ง ของเหล่ารูปปั้นที่เขาศึกษาออกมาได้อย่างชำนาญ และนั่นเองก็ทำให้ผลงานของเขานั้นมักจะเป็นการเอารูปปั้นโบราณมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนั้นอีกหนึ่งจุดเด่นของงาน Viale นั่นก็คือ การตั้งคำถามกับลักษณะทางกายภาพของบล็อกหินอ่อน ที่มันทั้งใหญ่ หนัก หยาบ และ เปราะบาง ซึ่งสิ่งที่เขาตั้งคำถามเหล่านี้นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการให้ผลงานที่สร้างสรรค์ผ่านหินอ่อนพวกนี้เหมือนกับรอยสักบนผิวหนังมนุษย์มากที่สุดนั่นเอง
และด้วยเหตุนี้นี่เองที่มันทำให้ตัวของ Viale ได้มีการทดลองสร้างสรคเทคนิคต่าง ๆ มากมายขึ้นมา รวมถึงยังได้สร้างเครื่องมือเฉพาะ และพัฒนาหมึกสีร่วมกับนักเคมี เพื่อที่จะให้สีเหล่านั้นสามารถที่จะแทรกซึมเข้าไปในชั้นหินให้ได้ แถมเขายังมีการคัดสรรหินอ่อนที่มีความพรุนที่เหมาะสมเพื่อที่จะทำให้หินดูดซึบหมึกที่สร้างสรรค์รอยสักได้มากขึ้นนั่นเอง
นอกจากนั้นตัวของ Viale ยังตัดสินใจใช้สีสเปรย์แทนเข็มในการสัก และมีการใช้ตะไบเพชร์
และ ขนเหล็กในการขูดผิวหิน เพื่อให้เม็ดสีที่เขาผนแทรกไปในชั้นหิน ซึ่งการสร้างสรรค์ครอยสักให้กับรูปปั้น 1 ชิ้นนั้น ตัวของ Viale จะใช้เวลาในการสร้างสรรคผลงานทั้งสิ้นประมาณ 4 วันด้วยกัน แต่นอกจากนั้นแล้วเขายังต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวอีกถึง 6 เดือนเพื่อที่จะสร้างสรรครูปปั้นที่มีรอยสักเหล่านี้ออกมาเป็นนิทรรศการ
ส่วนไอเดียในการเลือกรูปปั้นมาสร้างสรรค์รอยสักของ Viale นั้น เขามองว่ารูปปั้นแต่ละยุค แต่ละสมัยนั้นมันคือสัญลักษณ์แห่งกาลเวลา และ จิตวิญญาณของผู้คนในยุคนนั้น ๆ แถมรูปปั่นยังเปรียบเสมือนกับสิ่งศํกดิ์สิทธิ์และเป็นสัญญะถึงของการคงอยู่เหนือการเวลา จึงทำให้ในปัจจุบันบรรดาเหล่ารูปปั้นต่าง ๆ ถึงได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ต้องถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีนั่นเอง
และเพราะเหตุผลเหล่านั้นนี้เองที่มันได้ทำให้ตัวของ Viale รู้สึกต้องการที่จะอยากจะสร้างรอยสักซึ่งมันเปรียบเสมือนกับลวดลายของโลกอาชญากรรมบนรูปปั้นหินอ่อนเหล่านั้น เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความขาวของหินอ่อนที่เป็นสัญลักษณ์แทนความบริสุทธิ์ และ ความดี ต้องแปดเปื้อน นอกจากนั้นตัวของ Viale เองก็ยังมองว่ารอยสักนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งศิลปะร่วมสมัยที่มันสามารถจะบอกเล่าเรื่องราวของชีวิต และ เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง หนำซ้ำมันก็ยังมีความหมายถึงการดำรงอยู่เช่นเดียวกับรูปปั้น ซึ่งเมื่อ 2 สิ่งนี้มารวมกัน มันจึงทำให้เกิดการผสมผสานกันระหว่าวัฒนธรรมร่วมสมัยอย่างรอยสัก กับ ศิลปะความงามแบบดั่งเดิมอย่างรูปปั้นเข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็นความขัดแย้งที่ลงตัวเพราะทั้ง 2 ศิลปะนี้ต่างก็เสริมแต่งความคลาสสิค และ ความร่วมสมัยให้แก่กัน
และหากเราจะพูดถึงรูปปั้นที่โด่งดังที่สุด ชื่อของรูปปั้น เดวิด ของ ไมเคิล แองเจโล นั้นจะต้องถูกนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ อย่างแน่นอน โดยปติมากรรมอย่างรูปปั้นเดวิดนั้นถือได้ว่าเป็นศิลปะชิ้นเอกแห่งยุคยุคเรเนสซองส์ ที่ถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1501 – 1504 ซึ่งความพิเศษของรูปปั้นเดวิด นั้นก็คือการใช้บล็อกหินอ่อนคาราร่าเพียงแค่ชิ้นเดียว ซึ่งเพราะความเป็นเอกลักษณ์ของหินคาราร่านี้เอง มันจึงทำให้ลวดลายของหินนั้นกลายเป็นจุดเด่นของมัน นอกจากนั้นแล้วรูปปั้นเดวิดยังกลายเป้นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเสรีภาพ และ เป็นเรื่องราวของชายผู้กล้าหาญที่กล้าเผชิญหน้าต่อสู้กับยักษ์ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลอีกด้วย และเพราะความโด่งดังของรูปปั้นเดวิดนี้เองที่ทำให้ตัวของ Viale นั้นเลือกรูปปั้นเดวิดมาสร้างสรรค์รอยสักลงไป
โดย Viale เลือกที่จะแกะสลักเฉพาะส่วนหัวของรูปปั้นเดวิด
โดยเขาตั้งใจที่จัดแสดงให้หัวรูปปั้นเดวิดเงยหน้ามองขึ้นฟ้าและวางอยู่บริเวณบล็อกหิน ซึ่งรอยสักที่เขาเลือกมาใส่ในรูปปั้นเดวิดนั้น เขาได้เลือกเอาลายนกพิราบ และ คำว่า Peace ที่แปลว่า สันติสุข มาสักที่บริเวณต้นคอของรูปปั้นเดวิด นอกจากนั้นแล้วบริวเวณใบหน้าของรูปปั้นเดวิดจะมีรอยสักสักลัษณ์คล้าย ๆ ไม้กางเขนที่หางตาด้านขวา ซึ่งความหมายนี้มันจะคล้าย ๆ กับการที่มีรอยสักรูปหยดน้ำตา ที่แสดงออกถึงความหมายของการติดคุก หรือ การของจำ ซึ่งเรามันจะพบเห็นได้บ่อย ๆ ตามบรรดาแร็ปเปอร์ และ เหล่านักโทษ
และการเลือกรอยสักแบบนี้มันเลยทำให้ผลงานนี้ดูน่าสนใจเพราะเนื้อหาของรูปปั้นนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาพอสมควรเพราะจากเดิมที่ เดวิด นั้นแสดงออกถึง ความแข็งแกร่งของการต่อสู้ และชัยชนะ นั้นเปลี่ยนไปเป็น ความหมายของการถูกจองจำ ความสงบสุข และ ความพ่ายแพ้แทน แถมลักษณะการจัดแสดงหัวของเดวิดเพียงอย่างเดียวก็ยังเปรียบเสมือนกับหัวของยักษ์ที่ถูกตัวของเดวิดตัดออกมาอีกด้วย
อีกหนึ่งประติมากรรมที่ถูก Viale เอามาสร้างสรรค์และใส่รอยสักลงไปนั่นก็คือ ประติมากรรมของกรีกบอกโบราณที่มีชื่อว่า Venus de Milo โดยรูปปั้นนี้ถูกสร้างขึ้นราว ๆ 130 ถึง 100 ปี ก่อนคริสตกาลเสียอีก ซึ่งผู้สร้างสรรค์ผลงานนี้ก็คือ Alexandros of Antioch ซึ่งรูปปั้นนี้ก็คือรูปปั้นของ Aphrodite หรือ Venus เทพธิดาแห่งความรักและความงามของชาวกรีก โดยมีความสูงถึง 2 เมตรกว่า ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้นรูปปั้นนี้ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในกรุงปารีส ซึ่งในความเป็นจริงแล้วรูปปั้น Venus ชิ้นนี้จะเป็นตัวแทนของสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ และ การเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ รวมถึงการเสื่อมสลายของธรรมชาติ
ซึ่งภาพจำของใครหลาย ๆ คนกับรูปปั้น Venus นี้ ก็คงจะเป็นภาพของหินอ่อนสีขาวอันบริสุทธ์
ตามแบบฉบับงานปั้นของกรีกโบราณ แต่ทว่าเมื่อตัวของ Viale หยิบเอารูปปั้นนี้มาสร้างสรรค์รอยสักใส่ลงไป เขาก็ได้ใช้รอยสักแบบตัวเต็มของยากูซ่าญี่ปุ่นใส่ลงไปไล่ตั้งแต่แผ่นหลังไปจนถึงไหล่ด้านหน้าทั้ง 2 ข้าง ส่วนลวดลายที่เขาเลือกใส่ลงในรอยสักครั้งนี้จะเป็นลวดลายของดอกซากุระสีชมพูที่ร่วงลงสู่ลำธารข้างล่างที่มีน้ำหมุนวนอยู่นั่นเอง
และอย่างที่หลาย ๆ คนน่าจะพอทราบกันว่า ดอกซากุระ นั้นก็เปรียบเสมือนกับอีกหนึ่งตัวแทนทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น และมันยังเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของชีวิต และ ความงาม เนื่องจากในทุก ๆ ปีคนญี่ปุ่นจะมีเทศกาลฉลองอย่างเทศกาล
ฮานามิ ที่ทุก ๆ คนจะออกมาจากบ้านเพื่อชื่นชมความงดงามของต้นซากุระ มันจึงทำให้ผลงานของ Venus de Milo ในแบบรูป แบบของ Viale กลายเป็นการประสานกันระหว่างความงามของรูปปั้นที่มีความเป็นอมตะ แต่ในขณะเดียวกันรอยสักรูปดอกซากุระที่ร่วงหล่นอยู่ในแม่น้ำก็ถูกตีความหมายออกมาว่าความงานที่ไม่ยั่งยืน เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์นั่นเอง
แต่ทว่าผลงานของ Vialed กับการตีความรูปปั้นสุดคลาสสิคให้กับรอยสักต่าง ๆ นั้นยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เอาไว้เดี๋ยวโอกาสหน้าเราจะมานำเสนอเรื่องราวของของเขากัน ซึ่งจะเมื่อไหร่นั้นคุณก็ต้องติดตามข่าวสาร และ บทความเกี่ยวกับรอยสักต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ของเราให้ดี tattooexpo09
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> ไฮโลไทย