อย่างที่หลาย ๆ คนน่าจะพอทราบกันดีว่าเรื่องราวของรอยสักนั้นเป็นสิ่งที่มีประวัติและความเป็นมาค่อนข้างยาวนาน ซึ่งในแต่ละประเทศเองก็มีสตอรี่ หรือ เรื่องราวเกี่ยวกับรอยสักต่าง ๆ นั้นแตกต่างกันไป และในโซนเอชียของเราเองก็เช่นกัน ซึ่งถ้าให้เราสังเกตกันลงลึกไปจริง ๆ แล้ว หนึ่งในจิตกรรมฝาพนังโบราณของล้านนาเอง ก็ได้มีการเล่าถึงเรื่องราวของการสักเอาไว้เช่นกัน โดยในภาพวาดฝาพนังนั้น เหล่าผู้ชายทุกคนจะมีลวดลายการสักอยู่ที่บริเวณขา ซึ่งในภายหลังเราก็เรียกการทำแบบนี้ว่า
การสักขาลาย โดยการสักแบบนี้จะเป็นการสักเพื่อแสดงให้เห็นว่า เด็กผู้ชายคนนั้นสามารถก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญได้แล้วนั่นเอง
การสักขาลาย นั้นนอกจากที่จะเป็นการพิสูจน์ถึงความกล้า และ ความอดทนแล้ว ยังมีความเชื่ออกันว่าการสักแบบนี้มันแสดงถึงความนอบน้อมต่อครอบครัว และ เป็นการแสดงความกตัญญูทดแทนพระคุณแม่ เพราะว่าเด็กคนนั้นจะพร้อมที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวคนต่ไป ซึ่งสาเหตุนี้นี่เองที่ทำให้มีการบันทึกถึงเรื่องการสักขาลายเป็นจริงจังเลยว่า หากผู้หญิงคนใดจะดูว่าชายคนนั้นเหมาะแก่เป็นคู่ครองหรือไม่ ส่วนหนึ่งให้มองว่าเขาคนนั้นสักขาลายแล้วหรือยัง และนั่นเองก็เป็นสาเหตที่ทำให้ส่วนใหญ่แล้วชาวล้านนาในอดีตแทบทุกคนล้วนแล้วแต่สักขาลาย
แต่แน่นอนว่าทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างไม่มีอะไรที่สามารถคงทนได้ซึ่งในตลอดช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมาค่านิยมของสักขาลายเองก็ค่อย ๆ เสื่อมลงไปตามกาลเวลาจนเข้าวิกิฤตที่จะเข้าขั้นสู่การหายสาบสูปเนื่องจากปัจจุบันนั้นการสักขาลายจะพบเห็นได้เพียงแค่ตามคนแก่ของเผ่าที่ตอนนี้มีจำนวนน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเองก็ยังมีคนที่อยากอนุรักษ์การสักขาลายนี้เอาไว้ และ เขาคนนั้นก็คือชายที่ชื่อว่า อ๊อด-ศราวุธ แววงาม
อ๊อด-ศราวุธ แววงาม ได้นิยามตัวเองว่า เขาคนนี้คือช่างสักที่เป็นอดีตเด็กพังก์ที่ผันตัวแล้วหันมาศึกษาวัฒนธรรม
สักขาลายแบบจริง ๆ จัง โดยเขาต้องการลงลึกถึงเรื่องนี้ด้วยการเดินทางไปศึกษากับอาจารย์ที่เป็นชาวปกาเกอะญอที่ยังคงรับหน้าที่สักขาลาย และ สืบทอดวิชาสักขาลายนี้มาเผยแพร่ต่อให้กับผู้ที่สนใจ
แต่ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ตัวของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม เข้ามาสู่การสักขาลาย เราต้องย้อนไปถึงเรื่องราวของเขาตั้งแต่อายุ 18 โดยในตอนนั้นตัวของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม ได้เริ่มต้นเข้ามาเป็นช่างสักเนื่อจากเขานั้นสนใจความพังก็ ซึ่งมันยังไม่ได้แค่หลายในสังคมไทยมากนัก เนื่องจากมันมีความน่าสนใจในการทำสีผม ทรงผม รวมถึงการแต่งตัวที่มันดูแรงสะใจ และ แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของวัยรุ่นหัวขบถ
และแน่นอนว่าการที่จะเป็นเด็กพังก์ให้เต็มที่หนึ่งในสิ่งที่สามารถเติมเต็มได้นั่นก็คือการสัก ซึ่งในตอนนั้นตัวของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม เองก็เริ่มสนใจด้านการสักมาด้วยแต่ทว่าการสักขาลายนั้นมันยังไม่เคยมีอยู่ในสมองของเขาเลยแม้แต่น้อย โดยในตอนนั้นตัวของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม ได้เริ่มหัดสักโดยการซื้อหนังหมูมาหัด และ ต่อมาก็ค่อย ๆ ขยับมาสักบนร่างกายของเพื่อน ๆ ชาวพังก็ด้วยกัน และนั่นเองก็ทำให้ตัวของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม เริ่มมองเห็นว่าการสักก็สามารถทำเป็นอาชีพและหารายได้ได้เช่นกัน
โดยตัวของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม ได้บอกว่าในตอนนั้นเครื่องสักนั้นยังเป็นของที่ค่อนข้างหายากแค่มีราคาแพง
จึงทำให้เขาจำเป็นที่จะต้องประดิษฐ์ขึ้นมาเอง หนำซ้ำยังต้องลงทุนนั่งรถจากเชียงใหม่มายังกรุงเทพเพื่อที่จะหาซื้อสื่อต่าง ๆ อย่างหนังสือสักเพื่อที่จะทำความเข้าใจว่าเครื่องสักมันเป็นอย่างไร และในตอนที่ช่าง อ๊อด-ศราวุธ แววงาม อายุ 18 เขาก็ได้ประดิษฐ์เครื่องสักของตัวเองสำเร็จและเริ่มต้นประกอบอาชีพด้วยการเปิดร้าน และ ชวนเพื่อฝูงมาเปิดบาร์อยู่ข้างกัน ซึ่งในตอลด 17 ปีนั้นตัวของเรื่องราวการสักขาลายยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในสมองเขาเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ตัวของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม ยังคงยึดมั่นอยู่นั่นก็คือ เขาไม่คิดที่จะเปลี่ยนอาชีพอีกแล้ว
แต่หลังจากนั้น 7 ปีต่อมาโชคชะตาของ อ๊อด-ศราวุธ แววงาม และการสักขาลายก็ได้มาบรรจบกันในที่สุด เพราะในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำงานอยู่ในร้านสักเหมือนดังเช่นทุก ๆ วันนั้นจู่ ๆ ก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน โดนพระรูปนั้นต้องการที่จะซื้อหมึกสักจากตัวเขา โดยให้สาเหตว่าไปสักมาแล้วหมึกไม่ดำ ทำให้พระรูปนั้นต้องการที่จะเอาหมึกนั้นไปสักให้เสร็จ ซึ่งการพูดจาในครั้งนี้นี่เองที่มันได้สร้างความสงสัยให้กับ ช่างอ๊อด-ศราวุธ แววงาม จนทำให้ตัวของเขาตัดสินใจถามพระรูปนั้นกลับไปว่าสักลายอะไรมา
ซึ่งพระรูปนั้นไม่ได้ให้คำตอบอะไรแก่ตัวอ๊อด-ศราวุธ แววงาม ท่านเพียงแค่ถกชายจีวรขึ้นมาจนถึงหน้าขา และนั่นเองก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้ช่างอ๊อด-ศราวุธ แววงาม ตกใจ เพราะรอยสักที่พระรูปนั้นสักก็คือ การสักขาลาย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ตัวของช่างอ๊อดตกใจนั้นก็คือ ด้วยความที่เขาเป็นช่างสักมันจึงทำให้เขารู้ว่ารอยสักนี้ไม่ได้มาจากการใช้เข็มจากเครื่องสัก และ มันก็ไม่ใช่เข็มแบบการสักยันต์อีกด้วย แต่มันเป็นการสักด้วยมือแบบโบราณ แถมรูปแบบที่พระรูปนั้นสัก ตัวของช่างอ๊อด-ศราวุธ แววงาม ยังเคยเห็นเพียงแต่ในภาพถ่ายเท่านั้น ซึ่งการได้พบเจอกับการสักขาลายครั้งนี้ทำให้ตัวของเขารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก และมันก็สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวของช่างอ๊อด-ศราวุธ แววงาม ต้องการที่จะไปเจอคนสักขาลายให้ได้
ภาพการสักขาลายนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของช่างอ๊อด-ศราวุธ แววงาม อยู่ตรลอดเวลา และก็ยังถือได้ว่ามีโชคเพราะในวันนั้นเขาได้ขอเบอร์ติดต่อ และ ที่อยู่ของช่างสักจากพระรูปนั้นเอาไว้ ซึ่งพอตัวของอ๊อด-ศราวุธ แววงาม สามารถเคลียร์คิวงานของเขาจนหมด เขาก็ตัดสินใจบึ่งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเขาเพื่ออกเดินทางไปหาช่างสักขาลายตามที่เขาได้ขอพระรูปนั้นเอาไว้ทันที และสถานที่ซึ่งเขาต้องเดินทางไปนั่นก็คือ หมู่บ้านตะพิโจ ตำบลแม่ต้าน อำเภอท่าสองงยาง จังหวัดตากนั่นเอง
แต่ใช่ว่าการเดินทางเพื่อตาหาช่างสักขาลายนั้นไม่ได้ง่ายเลย เพราะเมื่อเขาเดินทางเกือบ 200 กิโลไปที่ อำเภอท่าสองยางเขาก็ได้พบหมู่บ้านหนึ่ง แต่จากการสอบถามถึงช่างสักขาลายนั้นชาวบ้านได้บอกว่า ให้เดินทางไปยังบ้านแม่โพ แต่เมื่อมาถึงเขาก็พบว่าช่างสักขาลายที่อยู่ที่นี่ไม่มีแล้ว แต่ถึงแบบนั้นตัวของชาวบ้านก็ยังแนะนำให้ขับเข้าไปลึกขึ้น ซึ่งเส้นทางที่เขาจะขับต่อไปนั่นก็คือ ทางขึ้นดอยที่เป็นดินลูกรัง
ด้วยเส้นทางที่มันลำบากเอามาก ๆ นั่นเองทำให้ตัวของอ๊อด-ศราวุธ แววงาม เองเริ่มตัดสินใจอยากจะหันหัวรถกลับไปทุก ๆ ที แต่แล้วเขาก็ได้ไปเจอกับชาวบ้านที่เดินกลับมาจากไร่ และตัวของตัวอ๊อด-ศราวุธ แววงาม ถามถึงเรื่องการสักขาลายนั้น ชาวบ้านคนนั้นก็ได้ได้ถกขาขึ้นมาให้ดู ซึ่งมันทำให้ตัวของช่างอ๊อดรู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว และหลังจากนั้นชาวบ้านคนนั้นก็ได้แนะนำชี้ทางให้ไปยังบ้านของช่างสัก และเมื่ออ๊อด-ศราวุธ แววงาม ได้เดินทางไปถึงยังหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านั้นก็มารุมดูตัวเขาเป็นการใหญ่เนื่องจากตัวของอ๊อด-ศราวุธ แววงาม นั้นมีรอยสักค่อนข้างเยอะ แต่ทว่าคนในหมู่บ้านนั้นมีเพียงแค่การสักขาลายเท่านั้น มันจึงทำให้เขาดูเหมอืนตัวแปลกประหลาด แต่สถานที่นั้นเองก็ทำให้ตัวของเขาได้พบกับอาจารย์ที่มีชื่อว่าละดา
ซึ่งการได้พบกับอาจารย์ละดาของอ๊อด-ศราวุธ แววงาม จะทำให้เขาได้ทำการสักขาลายสมดังที่เขาตั้งใจเอาไว้หรือไม่ เอาไว้เดี๋ยวเรามาติดตามเรื่องราวของเขากันต่อในบทความหน้า tattooexpo09
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> เว็บตรงสล็อต