การจะสักหนึ่งครั้งสิ่งที่เราจำเป็นต้องคำนึงถึงนั้นมีค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตำแหน่งที่สัก เพราะว่าตำแหน่งที่สักนั้นค่อนข้างจะส่งผลเป็นอย่างมากต่ออาชีพการทำงานของเรา หรือบางคนเองก็จำเป็นที่จะเลือกร้าน หรือ ช่างสักให้ดี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้มันเกิดมาจากการที่ รอยสักนั้นคือ ศิลปะอีกหนึ่งแขนงที่มักยากจะลบเลือนออกไป และ ยังเป็นศิลปะที่เมื่อใครได้ทำแล้วมันจะอยู่ติดตัวกับคนคนนั้นไปโดยตลอด
ดังนั้นสิ่งที่ค่อนข้างจำเป็นอย่างมากในการสักนั่นก็คือ การเลือกเฟ้นหาช่างที่มีฝีมือ และ ประสบการณ์สูง จึงทำให้ในครั้งนี้เราจะขอพาทุก ๆ คนมาพบกับเรื่องราวของ ดุ่ย บอล 2 ช่างสักแห่ง St.Martin Tattoo Studio กับความรักในรอยสัก กัน ซึ่งเรื่องราวเส้นทางในวงการสักของทั้งคู่นั้นจะเป็นมาเป็นไปอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่า เรามาเริ่มต้นเรื่องราวในครั้งนี้กันเลยดีกว่า
จุดเริ่มต้นความหลงใหลในวงการสัก
สำหรับช่างดุ่ยนั้นแต่เดิมตัวของเขาเรียนอยู่ที่คณะนิเทศศิลป์ที่มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งในตอนนั้นตัวของเขาก็เริ่มมีความชอบในด้านการพ่นกำแพงกราฟิตี้ รวมถึงตัวเองยังเป็นคนที่วาดรูปได้ดีมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว จึงทำให้ในวันหนึ่งเมื่อเขาได้พบกับบรรดาเหล่านักดนตรีที่มีรอยสักอยู่เต็มตัวมันก็ทำให้เขารู้สึกว่านักดนตรีเหล่านั้นมีความเท่เอามาก ๆ แถมมันยังไปกระตุ้นต่อมความท้าทายของเขาว่า ศิลปะชนิดนี้มันยากกว่าการวาดรูปปกติค่อนข้างมาก เพราะองค์ประกอบในชิ้นงานนั้นค่อนข้างเยอะ อีกทั้งการจรดเข็มลงไปบนร่างกายแต่ละครั้งก็ไม่สามารถที่จะลบได้เลย จึงทำให้ในการสักทุก ๆ ครั้งเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่เยอะกว่า และก็ทำให้เขารู้สึกท้าทายกว่าเช่นกัน
ส่วนสำหรับตัวของบอลสิ่งที่ทำให้เขาหลงรักในการสักนั่นก็คือ ตอนแรกเขามองว่าศิลปะแขนงนี้มันสวยดี และ อยากจะลองมีติดตัวเอาไว้บ้าง ซึ่งความชื่นชอบในครั้งนี้นี่เองที่ทำให้เขาเริ่มเข้าสู้เส้นทางในการสัก ซึ่งตอนแรกเขาก็คิดอยู่ว่าไอ้รอยสักพวกนี้เขาสามารถที่จะสักมันเองได้ไหม ทำให้เขาตัดสินใจไปลองซื้อรอยสักแบบสติกเกอร์มาลองแปะตามร่างกายตัวเองเล่นก่อน
และหลังจากนั้นเขาเริ่มทำการสักตัวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งถือได้ว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างท้าทายเอามาก ๆ แต่นั่นมันก็ทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความสามารถของตัวเองว่าพอจะไปได้ขนาดไหน และเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นความชอบและ ความหลงใหล รวมถึงมีความคิดที่อยากจะหาเงินจากการสักเพื่อพิสูจน์ให้ที่บ้านเห็นว่างานนี้ก็สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้
รอยสักแรกที่ช่างดุ่ยสัก
โดยหากจะย้อนไปถึงเรื่องราวรอยสักแรกของช่างดุ่ยแล้วละก็ เราจะต้องย้อนเรื่องไปนานกว่า 8 ปี โดยรอยสักแรกมันเริ่มมาจากการที่ช่างดุ่ยไปเรียนรู้การสักกับรุ่นพี่ จนทำให้เขารู้สึกอยากที่จะลองทำเองบ้าง และจากนั้นเขาก็เริ่มซื้อเครื่องสักและลองสักไปตามผิวสัมผัสต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเพื่อนของเขาเห็น เพื่อนของเขาก็เลยขอร้องให้เขาสักให้ ซึ่งแม้ว่าตอนแรกช่างดุ่ยจะกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะว่าเขายังทำความคุ้นชินกับเครื่องสักไม่ดีพอ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะสักให้
ซึ่งแม้ว่างานในตอนนั้นตัวของช่างดุ่ยจะรู้สึกว่าไม่ขี้เหร่เท่าไหร่แล้วก็ตาม แต่ทว่าเมื่อเขามามองย้อนไปจากปัจจุบันเขาก็รู้ว่างานนั้นก็ไม่ได้ดีมากเท่าไหร่ เนื่องจากประสบการณ์ในตอนนั้นยังน้อยมาก แถมเขาก็ยังไม่นึกไม่ฝันด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมาจริงจังงานด้านสายนี้แบบเต็มร้อย
ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ชวนทึ่งของช่างดุ่ยนั่นก็คือรอยสักที่เห็นบนร่าง เพราะตัวของเขานี่แหละเป็นผู้สักเองทั้งหมด โดยช่างดุ่ยจะมองว่าส่วนไหนของร่างกายของเขาที่สามารถถือปากกาวาดเองได้ ส่วน ๆ นั้นเขาจะเป็นคนขึ้นโครงเองทั้งหมด แต่สำหรับงานด้านลงสีเขาจะให้คนอื่นทำ
นิยามของคำว่าการสักที่ดี
ตัวของช่างดุ่ยนั้นมองว่า การสักที่ดีนั้นจำเป็นจะต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ เครื่องมือ สี แต่ส่วนใหญ่แล้วทั้งหมดนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของผู้สักเองด้วยเช่นกัน เพราะว่ากว่าที่ตัวของช่างสักจะชำนาญได้พวกเขาก็ต้องผ่านการฝึกฝนมากมาย
ซึ่งตัวของดุ่ยเองก็เป็นคนที่เสพงานสักของเมืองนอกมาไม่ใช่น้อยมันจึงทำให้ตัวของเขามองว่าวงการสักนั้นยังสามารถพัฒนาไปได้อีกค่อนข้างไกลเพราะงานเมืองนอกเองก็ยังคงพัฒนาไปเรื่อย ๆ และมันเลยกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวของดุ่ยพยายามที่จะพัฒนางานสักของตัวเองให้พัฒนาขึ้นไปอีกอย่างต่อเนื่อง
แต่ทว่าเรื่องราวเส้นทางในวงการสักของ ดุ่ย บอล 2 ช่างสักแห่ง St.Martin Tattoo Studio กับความรักในรอยสัก
ที่เรากำลังเล่าให้คุณฟังยังไม่ได้เพียงเท่านี้หรอกนะ เพราะว่าเรื่องราว และ ประสบการณ์ที่หล่อหลอมพวกเขาให้แข็งแกร่งในวงการนี้ยังมีอีกมากมาย เอาไว้เดี๋ยวครั้งหน้า เราค่อยมาเล่าเรื่องราวแบบเจาะลึกของพวกเขากันต่อ