ชีวิตของคนเราต้องเดินไปข้างหน้า และการเดินไปข้างหน้านั้นทำให้ตัวเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ซึ่งบางเรื่องมันก็อาจจะทำให้เราดีใจ หรือ บางเรื่องก็อาจทำให้เราเสียใจจนท้อ ดังนั้นวิธีการรับมือกับเรื่องไม่ดีเหล่านี้นั่นก็คือ การหาแรงบันดาลใจ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในมุมมองของชีวิต และ แน่นอนว่า เส้นทางในวงการการทำงานของเราเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมเรื่องราวเหล่านั้น
และตัวของช่างบอล และ ช่างดุ่ย แห่ง ST.Martin Tattoo Studio ที่มีประสบการณ์อยู่ในวงการนี้ยาวนานหลายปีแล้ว
พวกเขาเองก็มีวิธีการปรับเปลี่ยนมุมมองชีวิต รวมถึงวิธีการประยุกต์การทำงานของเขาให้เข้ากับไลฟ์สไตล์เช่นกัน ดังนั้นในครั้งนี้เราจึงจะขอพาทุก ๆ คนไปเปิดอีกหนึ่งมุมมองกับเรื่องราวของ มุมมองชีวิตต่อการสักของช่างบอล และ ช่างดุ่ย แห่ง ST.Martin Tattoo Studio กัน ซึ่งเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า เราไปเริ่มต้นเรื่องราวครั้งนี้กันเลยดีกว่า
ลวดลายที่ยากที่สุดในการสักของช่างบอล และ ช่างดุ่ย
สำหรับตัวของช่างบอลนั้นเขามองว่างานสักสำหรับเขาที่ยากที่สุดนั่นก็คือ งานที่ไม่ใช่ทางของตัวเอง เพราะช่างสักแต่ละคนเองก็มีความถนัดแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นเขาเองจะไม่ถนัดงานที่เป็นภาพเหมือน แต่เขาจะไปถนัดงานแนว mandala หรืองาน geomatics รวมถึงลวดลายแบบ Dot ซึ่งแม้ว่าเขาจะพอทำได้ แต่มันก็ไม่ดีเท่ากับคนที่ถนัดและชำนาญงานแนวนี้
ส่วนสำหรับช่างดุ่ยเขามองว่าจริง ๆ สำหรับเขานั้นการสักมันยากเกือบทุกครั้งและทุกงาน เนื่องจากผิวหนังที่สักนั้นไม่ใช่ผิวหนังของตัวเขาเอง และงานเหล่านี้มันจะติดตัวคนคนนั้นไปตลอด จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก งานใหญ่ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นงานท้าทายทั้งนั้น นอกจากนั้นตัวของช่างดุ่ยเองก็ยังเห็นด้วยกันช่างบอลด้วยว่างานที่ไม่ใช่สไตล์ถนัดของตัวเราเองก็ถือเป็นงานยากอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าบางทีตัวช่างแนะนำไปแล้วลูกค้าอาจจะไม่เอาจนกลายเป็นปัญหาด้านการสื่อสาร
การค้นหาสไตล์ที่ถนัดของตัวเอง
แน่นอนแหละว่าการจะหาสไตล์ที่ใช่ของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยตัวของช่างบอลเองก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เนื่องจากตัวเองเน้นไปที่การสักมือมาก่อน จนเมื่อได้มาทำงานที่ข้าวสารนี้นี่แหละที่ทำให้เขาได้เริ่มมาลองจับเครื่องสักดู และหลังจากนั้นตัวเขาก็ต้องทำความคุ้นเคยกับเจ้าเครื่องสักเป็นระยะเวลานานกว่า 2-3 ปี ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีทั้งเพื่อนรอบข้างที่คอยสอนเทคนิคต่าง ๆ และนั่นเองก็ทำให้ตัวของช่างบอล เริ่มลองหลาย ๆ สิ่งดูว่ามันจะใช่ตัวของเขารึเปล่า จนในที่สุดเขาก็ค้นพบสไตล์ของตัวเอง
ส่วนสำหรับช่างดุ่ยที่มีงานถนัดเป็นสไตล์ dot กับ black work นั้นแตกต่างออกไปเนื่องจากตัวของเขาวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก และก็ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินหลาย ๆ คน จนทำให้ฝึกมากขึ้นเรื่อย ๆ และการฝึกเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ร่างกายของเขาจำไปแบบอัตโนมัติเลยว่างานแนวไหนที่เขาถนัด และเมื่อเอามาลงกับผิวหนังคนจริง ๆ มันยิ่งทำให้เขารู้ได้เลยว่างานไหนที่เขาทำแล้วรู้สึกว่ามันน่าเบื่อนั่นแปลว่าอันนั้นไม่ใช่แนวทางของเขา แต่ถ้าเขาทำแล้วสนุกนั่นแหละคือสไตล์ที่ใช่ของเขา
จุดม่งหมายในอาชีพนี้ของทั้ง 2 คน
ตัวของช่างบอลมองว่าเขาอยากจะทำงานในวงการนี้ไปอีกนานจนกว่าที่เขาจะไม่มีแรง และเขาก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจุดสูงสุดในชีวิตช่างสักของเขานั่นก็คือ การได้มีผลงานของตัวเองไปจัดแสดงโชว์ถึงต่างประเทศ
ส่วนตัวของช่างดุ่ยนั้นเองก็เช่นกัน เพราะว่าเขามองว่าศิลปะคือสิ่งที่สามารถทำได้เรื่อย ๆ และ สามารถต่อยอดไปได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด โดยหลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นว่าลวดลายจากการสักนั้นยังถูกเอาไปทำเป็นอย่างอื่นซึ่งสร้างเป็นคุณค่าทางศิลปะได้เช่นกัน ส่วนจุดสูงสุดของช่างดุ่ยนั้นก็คือ ความสุข เพราะแม้ว่ามันจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดค่อนข้างยาก แต่ตัวของช่างดุ่ยก็ได้นิยามมันออกมาว่า การทำงานออกมาแล้วมันต้องมีคนที่ชื่นชอบงานนั้นกับเราด้วย และนั่นมันจะเป็นแรงพัฒนาให้เราทำดีขึ้นไปอีก
สิ่งที่ดีที่สุดในอาชีพสักของทั้ง 2 คน
ตัวของช่างดุ่ยมองว่า สิ่งที่วงการสักมอบให้กับเขานั่นก็คือความท้าทาย เพราะว่าเอาจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ชอบคำว่าช่างสักเท่าไหร่นัก แต่พอเขาได้เห็นการทำงานในแต่ละขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการตั้งเครื่อง การใช้เครื่องมือ การเรียนรู้เข็มแบบต่าง ๆ นั่นมันทำให้เขาเข้าใจว่ามันท้าทายจากการบีบสีจากหลอดและละเลงไปบนกระดาษมาก
ส่วนสำหรับช่างบอลเองก็มองว่า ถ้าจะให้นิยามถึงความหมายมันคงจะอธิบายได้ยากเพราะทุกอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้มันมาจากความรู้สึกล้วน ๆ จนทำให้เขาไม่อยากที่จะหันไปทำอย่างอื่นแล้ว
และทั้งหมดนี้ก็คือ มุมมองชีวิตต่อการสักของช่างบอล และ ช่างดุ่ย แห่ง ST.Martin Tattoo Studio ที่เราได้เอามาฝากทุก ๆ คนกัน ซึ่งมันแสดงให้เห็นแล้วว่าการอยู่ในเส้นทางนี้มันได้พาพวกเขา 2 คนได้พบกับแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต และ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นมากขนาดไหน