รอยสักนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และ ยังกลายเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ในสมัยโบราณ เนื่องจากหากเราย้อนความกันไป เราก็จะพบว่าเรื่องราวของรอยสักนั้นมีประวัติและความเป็นมาซึ่งยาวนานกว่าหนึ่งพันปีก่อน ซึ่งแท้จริงแล้วคำว่า tattoo นั้นเป็นคำที่มาจากภาษาของชาวโพลีนีเซียน ที่เขียนว่า Tatau ซึ่งความหมายของมันนั้นจะแปลได้ว่า การตี หรือ การเคาะ ซึ่งมันเป็นกิริยาท่าทางที่มาจากการใช้เครื่องสักแบบพื้นบ้านของพวกเขานั่นเอง แต่ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ทว่าเรื่องราวของรอยสักนั้นมันกลับไม่สิ้นมนต์เสน่ห์ของมันลงได้ จนทำให้ในปัจจุบันนี้เรื่องของรอยสักก็ได้เปลี่ยนแปลงจากการแสดงยศอำนาจ หรือ การตีตราต่าง ๆ กลายเป็นหนึ่งในศิลปะ และ แฟชั่นในยุคปัจจุบัน และถ้าหากจะเราจะพูดถึงเทรนด์ที่มันกลายเป็นกระแสมาก ๆ ในหมู่ของวัยรุ่นสมัยนี้ เราเชื่อว่าเทรนด์อย่าง K-Pop เองก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น และ วันนี้เราจะมาพูดถึง ความหมายรอยสักของ 2 หนุ่มแห่งวง BTS อย่าง จองกุก และ จีมิน กัน
โดยทั้งจองกุก และ จีมินแห่งวง BTS นั้นถือได้ว่าเป็นอีก 2 ศิลปินที่ชื่นชอบในศิลปะบนเรือนร่างอย่างรอยสักอยู่พอสมควร แถมรอยสักแต่ละจุดนั้นก็ค่อนข้างมีความหมาย และ เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้ง 2 คนนั้นอยากสื่อออกมาให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้
แต่ถึงแบบนั้นแล้วก็ตามสำหรับใครที่ไม่เคยอ่านบทความภายในเว็บไซต์ของเรานั้นอาจจะไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องของรอยสักในวงการบันเทิงเกาหลีนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม จึงทำให้เรามักจะไม่ค่อยได้เห็นบรรดาเหล่าศิลปินเกาหลีเปิดเผยรอยสักออกตามสื่อทีวีของประเทศบ้านเขาเท่าไหร่นัก ถึงอย่างนั้นแล้วบรรดาเหล่าแฟนคลับเองก็ยังชื่นชอบในตัวของศิลปินพวกเขาที่มีรอยสัก และ ไม่ได้แอนตี้ตามกระแสสังคมที่ทางรัฐบาลได้ประกาศเอาไว้
และเพราะการที่รอยสักนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามในวงการบันเทิงเกาหลีนี้เองจึงทำให้ การได้เห็นรอยสักของศิลปินหลาย ๆ คนที่มีรอยสัก อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นสักเอาไว้ก่อนที่จะเข้าวงการบันเทิงนั่นเอง และหนึ่งในคนที่บรรดาเหล่าแฟนคลับต่างสันนิษฐานว่าเขาจะต้องมีรอยสักมาก่อนที่จะเข้าวงการบันเทิงนั่นก็คือ จีมิน
โดยรอยสักแรกของ จีมิน ที่ถูกตัวเป็นครั้งแรกนั้นก็คือ รอยสักที่เป็นคำว่า “Nevermind” โดยรอยสักนี้ถูกเปิดตัวให้เหล่าแฟนคลับได้เห็นกันแบบชัด ๆ เป็นครั้งแรกบนเวที MAMA เมื่อเดือนธันวาคมปี 2014 แต่ทว่าในตอนนั้นทุกคนที่เห็นรอยสักนั้นกลับคิดว่าจริง ๆ แล้วมันน่าจะเป็นเพียงแค่ รอยสักชั่วคราวเท่านั้น เพราะว่าหลังจากเหตุการณ์บนเวที 2014 นั้นก็ไม่มีใครได้เห็นรอยสักนี้บนตัวของ จีมิน อีกเลย จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยมาถึง ปี 2018 พวกแฟนคลับก็ได้มาเห็นรอยสักนี้อีกครั้งจากการโชว์ในบนเวที MGA และมันก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และ นั่นเองก็ทำให้บรรดาเหล่าแฟนคลับได้แน่ใจแล้วว่าคำว่า “Nevermind” เป็นรอยสักที่ติดตัวอยู่กับ จีมิน จริง ๆ
แต่อย่างที่เราบอกว่าตัวของ จีมิน นั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่ชื่นชอบศิลปะบนเรือนร่างอย่างรอยสัก ดังนั้นรอยสักของเขาจึงไม่ได้มีเพียงแค่ตำแหน่งเดียว โดยรอยสักอีกลายหนึ่งนั่นก็คือ รอยสักเลข 13 โดยรอยสักนี้ปรากฏออกสู่สายตาของแฟนคลับเป็นครั้งแรกในตอนที่ตัวของ จีมิน Live ผ่านแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า V LIVE ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลังจากนั้นหลาย ๆ คนก็ได้เห็นรอยสักนี้ซ้ำอยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากเวที ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ หรือ เห็นอีกครั้งในการLiveผ่านแอปพลิเคชันเดิมอย่า V LIVE ของเมื่อวันที่ 30 มีนาคม
ส่วนความหมายของเลข 13 นั้นมีความเกี่ยวข้องกับตัวของ จีมิน เองพอสมควรโดยประการแรกนั่นก็คือ หมายเลข 13 นี้เป็นหมายเลขที่เขาชอบ อีกทั้งวง BTS ยังเริ่มเดบิวต์เป็นครั้งแรกในวันที่ 13 มิถุนายน 2013 แถมวันเกิดของ จีมิน เองก็คือวันที่ 13 ตุลาคม จึงทำให้การสักเลข 13 เอาไว้บนร่างกายของเขาเองเป็นการสื่อถึงความหมายต่าง ๆ เหล่านี้นี่เอง
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่รอยสักบนร่างกายรอยสุดท้ายที่ตัวของจีมินมีเพราะว่าในหลาย ๆ ครั้งที่ตัวของเขาเวลาขึ้นเวที บรรดาเหล่าแฟนคลับมักจะสังเกตเห็นว่าบริเวณข้อศอกของศิลปินคนโปรดของพวกเขานั้นมีปลาสเตอร์เปิดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
และนั่นเองก็ทำให้บรรดาเหล่าแฟนคลับหลาย ๆ คนเดาว่าการเอาปลาสเตอร์ติดไว้แบบนี้มันคงมีไว้เพื่อสำหรับการปิดบังบางสิ่ง และนั่นก็ทำให้หลาย ๆ คนคิดว่าบริเวณข้อศอกของ จีมิน น่าจะมีรอยสักอะไรบางอย่างอยู่อีกสักรอยสักอย่างแน่นอน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วการใช้ปลาสเตอร์ปิดแบบกรณีดังกล่าวส่วนใหญ่แล้ว บรรดาเหล่าศิลปิน K-Pop หลาย ๆ คนจะใช้วิธีนี้เพื่อปกปิดรอยสักของตัวเอง
หลังจากที่ดูรอยสักของจีมินกันไปแล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะมาดูรอยสักของอีกหนุ่มหล่อที่ถือได้ว่าเป็นน้องเล็กที่สุดในวง BTS อย่างจอนจองกุกกันบ้าง ซึ่งเพราะความเป็นน้องเล็กของเขานี้เองที่ทำให้มีบรรดาเหล่าแฟนคลับนั้นชื่นชอบเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ๆ ภายในวงอีกด้วย โดยตัวของจอนจองกุกถึงแม้ว่าจะอายุน้อยก็ตามแต่การใช้ชีวิตของเขาก็ถือได้ว่าควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือ การกระทำ ของเขาก็มักจะทำออกมาได้ซึ้งกินใจอยู่เสมอ ๆ และนั่นก็รวมถึงรอยสักตรงหน้าแขนที่มักจะโผล่ออกมาอวดโฉมให้บรรดาเหล่าแฟน ๆ ได้เห็นกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะใน MV เพลงอย่าง ON ด้วยแล้ว บอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะลงตัวเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
และจากรอยสักของจอนจองกุกใน MV นั้นมันก็เป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างดีเลยละว่าตัวของเขาจะต้องมีรอยสักอยู่ด้วยกันอีกหลายที่อย่างแน่นอน ซึ่งรอยสักส่วนใหญ่ของตัวจอนจองกุกนั้นมันจะเป็นการตีความออกมาที่ค่อนข้างลึกซึ้งอยู่พอสมควรไม่ว่าจะเป็นรอยสักที่เกี่ยวข้องกับการที่เขาเป็นคนที่มีสายเลือดเกาหลีเข้มข้น หรือ การสักถึงแฟนคลับที่น่ารักของเขา และ หนึ่งในรอยสักที่ค่อนข้างโดดเด่นเอามาก ๆ ของจอนจองกุก นั่นก็คือรอยสักที่เป็นเหมือนคำ crossword ที่ไขว้ 2 ประโยคเอาไว้อยู่บริเวณแขนของเขานั่นเอง โดยประโยคนั้นก็คือ Make hay while the sun shines ซึ่งแปลว่า จงทำฟางตอนแดดส่อง ซึ่งสำนวนนี้จะถูกตีความหมายออกมาได้เป็น จงคว้าสิ่งดี ๆ เอาไว้ในตอนที่มีโอกาสนั่นเอง
ส่วนอีกหนึ่งประโยคที่ถูกสักไขว้เอาไว้บนแขนของจอนจองกุกนั่นก็คือ ประโยคว่า Rather be dead than cool
ซึ่งมันมีที่มาจากเพลง Stay Away ของวงระดับตำนานอย่าง Nirvana โดยสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกสักเป็นประโยคนี้นั่นก็เพราะว่า เขาต้องการให้มันเป็นคติประจำใจ แถมความหมายของประโยคนี้มันยังสามารถตีความออกเป็นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การขอยอมตายดีกว่าการใช้ชีวิตแบบไร้ความหมาย หรือ การใช้ชีวิตที่หมดไฟมันแย่ยิ่งกว่าการไม่มีชีวิต ส่วนอีกหนึ่งความหมายที่ส่วนใหญ่แฟน ๆ จะเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันนั่นก็คือ อยู่อย่างให้คนอื่นคิดว่าเท่ก็ตายไปเสียดีกว่า
แต่ทว่าเรื่องราวความหมายรอยสักของ 2 หนุ่มแห่งวง BTS อย่าง จองกุก และ จีมิน ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ เพราะว่าในร่างกายของเขายังมีรอยสักที่เต็มไปด้วยความหมายแฝงดี ๆ อีกมากมายที่บรรดาเหล่าแฟนคลับได้ตีความมันออกมา ซึ่งรอยสักเหล่านั้นจะมีอะไรอีกบ้าง และแต่ละรอยสักจะมีความหมาย และ ความสำคัญต่อตัวของ จอนจองกุก อย่างไร เอาไว้เดี๋ยวเรามาติดตามกันต่อในบทความหน้า