เรื่องราวของประวัติศาสตร์ต่าง ๆ นั้นสิ่งแรกเลยที่ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไหนก็มีเหมือนกันหมดนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งรอยสักเองก็เช่นกัน เพราะว่ารอยสักแต่ละแบบ และ แต่ละประเทศนั้นก็มีเรื่องราวสำหรับการเริ่มต้น และ ประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างยาวนานแตกต่างกันกไป ซึ่งในเว็บไซจ์ของเรานั้นเราได้เคยพาหลาย ๆ คนไปพบกับเรื่องราวของรอยสักจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นกลุ่มโซนเอเชียเหมือนเรากันมาแล้ว แต่ในครั้งนี้เราขอพาทุก ๆ ไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งประเทศที่มีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของรอยสักที่น่าสนใจไม่แพ้กับรอยสักประเทศไหน ๆ เลย โดยประวัติศาสตร์ที่เราจะพูดกันถึงในครั้งนี้ก็คือ ประวัติรอยสักเกาหลี นั่นเอง
โดยต้นกำเนิดของรอยสักเกาหลีถูกพบในครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษ์ที่ 2 หรือ ช่วง 4 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งตรงกับในยุคของสามฮั่นเกาหลี โดยเรื่องนั้นถูกบันทึกเอาไว้ผ่านนิทานพื้นบ้านที่มีความเกี่ยข้องกับรอยสัก แต่ถึงแบบนั้นเพราะกาลเวลามันจะทำให้บันทึกนั้นมีการเสื่อมสภาพและการฉีกขาดไป แต่หลังจากนั้นคำว่ารอยสักที่เขียนว่า 문신 ก็มีปรากฏขึ้นในวรรณกรรมต่าง ๆ ของเกาหลีอีกหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงมันยังปรากฏในพงศาวดารโครยอ ซึ่งในครั้งนี้มันไม่ได้เป็นเพียงนิทานพื้นบ้านแล้ว
แต่มันยังไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของกฏหมาย
แต่สุดท้ายแล้วเรื่องราวนั้นก็หายไปเนื่องจากอิทธิพลวัฒนธรรมจากภาคกลางของประเทศ และนั่นเองก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหนึ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เกาหลีถึงการสิ้นสุดของวัฒนธรรมการสักในยุคสามก๊กของประเทศเกาหลี หลังจากนั้นในยุคโกโจซอน ซึ่งเป็นยุค 108 ปีก่อนคริสตกาลนั้น เรื่องราวของรอยสักเกาหลีก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันปรากฏขึ้นมาในกฏข้อห้าม 8 ประการ โดยมันถูกบัญญัติไว้เป็น 1 ใน 8 แต่ถึงมันจะมีกฎในการห้ามสักก็ตามที แต่ทว่าในสมัยนั้นภาคใต้ของประเทศเกาหลีก็ยังมีประเพณีการสักตามธรรมเนียมอยู่ดี
ต่อจากนั้นเรื่องราวของรอยสักเกาหลีก็ได้มาปรากฏเป็นสิ่งที่ชัดเจนอีกครั้งในยุคโครยอ โดยครั้งนี้เรื่องราวของรอยสักนั้นจะไปเกี่ยวข้องกับพวกหัวขโมยเนื่องจาก มันได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ คนที่ถูกจับได้หลังจากที่ขโมยของ และหนีจากการถูกเนรเทศนั้นจะถูกสักโทษต่าง ๆ ลงบนใบหน้า และหากถ้ายังทำซ้ำอีกก็จะมีการสักเพิ่มโทษขึ้นไปบนร่างกายอีก และนั่นเองก็ทำให้บรรดาเหล่านักประวัติศาสตร์ต่างมองว่าการสักรอยสักเกาหลีในช่วงแรกนั้นถูกนำมาจากการใช้ลงโทษราชวงศ์ซึ่ง อีกทั้งเรื่องราวนี้ยังถูกบันทึกเอาไว้ในประมวลกฎหมาย คยองกุกแดจอน ว่าหากใครที่ได้รับการพิจารณาคดีตามกฎหมาย
และนอกจากนั้นในบันทึกสมัยโชซอนก็ยังมีเรื่องราวที่ถูกเขียนเอาไว้อีกว่ามีหัวขโมยวัวคนหนึ่งถูกจับได้ และถูกลงโทษด้วยการจับตัดหู แต่หลังจากนั้นเขาก็ทำความผิดอีกด้วยการขโมยเสื้อผ้าแล้วหนีไปพร้อม ๆ กับม้าที่เขาขโมยคนอื่นมา แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด และนั่นเองเมื่อเขาถูกจับได้เขาก็ถูกลงโทษด้วยการจับสักลงบนใบหน้า ซึ่งมันได้แสดงให้เห็นเลยว่ารอยสักเกาหลีในยุคนั้นไม่ได้เป็นการสักเพื่อสานต่อความเชื่อและวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่รอยสักเกาหลีในตอนนั้นได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาชญากร
และสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่ารอยสักเกาหลีในช่วงยุคนนั้นคือการตีตราอาชญากรนั่นก็เพราะว่ายังมีบันทึกในราชวงศ?โชซอน ที่ได้บันทึกเรื่องราวการครองราชย์ในปีที่ 11 ของพระเจ้าซองจง ซึ่งมีหญิงสาวคนนหนึ่งประพฤติตัวไม่เหมาะสม โดยปฏิบัติตัวไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของสังคมสมัยใหม่ เนื่องจากเธอแอบไปมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้ชายหลายคน และนั่นเองก็ทำให้เธอถูกสักบนแขนเพื่อเป็นการตีตราเอาไว้ และนั่นก็จึงเป็นการยืนยันได้อย่างดีถึงเรื่องราวของการลงโทษด้วยรอยสักที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงอาชญากรเพียงอย่างเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าในหลาย ๆ ประเทศเองเรื่องราวของรอยสักนั้นกเป็นสิ่ง
ที่คนในสังคมยังค่อนข้างมองเป็นเรื่องอคติ เพราะว่ารอยสักนั้นมันเปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ของเหล่าคนไม่ดี และ ไม่มีศีลธรรม และแน่นอนว่าเรื่องราวของรอยสักเกาหลีในยุคปัจจุบันนั้นก็ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไหร่นัก
แต่ถึงรอยสักเกาหลีจะไม่ค่อยได้รับการยอมรับมากเท่าไหร่นัก แต่สำหรับบรรดเหล่าวัยรุ่นในปัจจุบันนั้นเพวกเขานั้นกลับเปิดใจให้เรื่องนี้มากขึ้น เพราะว่าพวกเขานั้นมองว่าการสักนั้นเป็นเหมือนกับการทำเพื่อระลึกถึง หรือ เป็นการแสดงอกของบุคคลิกภาพส่วนตัว และ เริ่มมองข้ามเรื่องอคติเหล่านี้ไป โดยเราจะเห็นได้จากบรรดเหล่าศลิปินเกาหลีหลาย ๆ คนที่เริ่มมีรอยสักอยู่บนร่างกายกันบ้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นรอยสักเล็ก ๆ หรือ รอยสักที่เป็นตัวอักษรต่าง ๆ
แต่ถึงแบบนั้นแล้วบรรดาเหล่าสื่อสถานีโทรทัศน์หลัก ๆ ของประเทศเกาหลีอย่าง SBS, KBS, MBC ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะถ่ายเลี่ยงส่วนนั้น ๆ ถ้าหากศิลปินคนใดมีรอยสักอยู่ตามร่างกาย หรือบางสถานีก็ยังมีกฎว่าให้ศิลปินเหล่านั้นต้องมีการใส่เสื้อที่มิดชิด หรือมีการเอาพลาสเตอร์ปกปิดรอยสักพวกเขา รวมถึงบางคนยังต้องทำการเมคอัพเพื่อปกปิดรอยสักเกาหลีของพวกเขาเลยก็มี
โดยเหตุผลที่ช่องทีวีหลาย ๆ ช่องเลือกจะเลี่ยงรอยสักเกาหลีเหล่านี้นั่นก็เพราะว่า หลาย ๆ สถานีของประเทศเกาหลีนั้นยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่ จึงทำให้พวกเขานั้นมองว่าคนดูของเขาเป็นกลุ่มผู้เยาว์ และไม่ต้องการที่จะเปิดเผยรอยสักพวกนี้ไปสูสาธารณะชน แต่ก็ยังมีทีวีอีกหลายช่องที่ไม่ได้แคร์กับเรื่องราวของรอยสักเกาหลีแบบนี้ เพราะพวกเขานั้เปิดโอกาสให้ศิลปินเกาหลีหลายคนสามารถที่จะอวดรอยสักของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ แต่ทว่ากระแสที่ได้กลับมาจากคนดูส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ค่อยเห็นด้วยในการที่สถานียอมให้ศิลปินเหล่านี้โชว์รอยสักของพวกเขา
ไม่ใช่แค่วงการศิลปิน K-Pop เท่านั้นที่ไม่ค่อยปรากฏรอยสัก แต่แม้กระทั่งซีรีย์เอง พระเอกนางเอก แทบทุกคนก็จะไม่มีรอยสักเกาหลีปรากฏออกมาให้เห็นเลยถ้ามันไม่ความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องจริง ๆ ซึ่งในในแง่หนึ่งมันก็คือการสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมเนื่องจากผลลัพธ์เหล่านั้นถูกพิสูจน์ผ่านทางเสียงตอบรับจากประชาชนมาแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนอีกส่วนหนึ่งนั่นก็คือการไม่มีรอยสักเกาหลีปรากกฏอยู่ในซีรีย์นั้นมันยังเป็นการช่วยให้ทีมงานไม่จำเป็นต้องมาคอยปรับเปลี่ยนอะไรในช่วงที่ซีรีย์ออกอากาศอีกด้วย
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เรื่องราวของรอยสักเกาหลีนั้นดูยุ่งยากมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ ประเทศเกาหลีในปัจจุบันได้มีการกำหนดกฏหมายไว้อย่างชัดเจนเลยว่าผู้ที่จะสร้างสรรค์รอยสักเกาหลีออกมาได้จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานทางการแพทย์เท่านั้น และจะต้องมีใบอนุญาติในการทำที่ถูกต้องอีกด้วย
ซึ่งไอ้ข้อกฎหมายนี้เองทนี่แหละที่ทำให้บรรดาเหล่าช่างสักที่มีฝีมือจริง ๆ นั้นไม่สามารถที่จะทำการเปิดร้านสักแบบโจ่งแจ้งได้นักเนื่องจากมันเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย และยังเชื่อกันอีกว่าจริง ๆ แล้วในประเทศเกาหลีนั้นมีช่างสักที่ผิดกฏหมายมากกว่า 20,000 คนเลยทีเดียว แต่เพราะว่ารอยสักเกาหลีนั้นเป็นเรื่องผิดกฏหมายจึงทำให้สิ่งที่ได้กลับมานั่นก็คือ การทำงานที่ค่อนข้างรวดเร็ว รวมถึงยังมีราคาถูกอีกด้วย
พอมาถึงตรงนี้แล้วหลาย ๆ คนก็อาจจะส่งสัยว่าแล้วแบบนี้บรรดาเหล่าศิลปินที่มีรอยสักจะมีปัญหาตามมาหรือไม่ ซึ่งเราก็บอกเลยว่า มี โดยในทุก ๆ ที่บรรดาเหล่าศิลปินเหล่านั้นเผยรอยสักของตัวเองผ่านทางสื่อโซเชี่ยลมีเดีย ส่วนใหญ่พวกเขาก็มักจะต้องเจอกับคอมเมนต์ต่าง ๆ นานาทั้งดี และ ไม่ดีเกี่ยวกับรอยสัก แต่ถึงแบบนั้นบรรดาเหล่าศิลปินเหล่านั้นก็ต้องการที่จะมีรอยสักเกาหลีบนร่างของตัวเองเพื่อเป็นการสื่อสารถึงตัวของเขากับบรรดาเหล่าแฟนคลับนั่นเอง
ส่วนถ้าถามถึงผลกระทบของรอยสักเกาหลีกับตัวศิลปินในเชิงลบนั้นมีใหม่ เราก็ตอบว่ามีได้เช่นกัน เพราะนอกจากผลกระทบทางด้านออกอากาศที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ อย่างที่ส่งผลกระทบตามมาไม่ว่าจะเป็นการที่บางสถานที่อาจจะไม่ให้ศิลปินที่มีรอยสักใหญ่เกินไปเข้า
โดยกรณีรอยสักเกาหลีที่เคยเป็นข่าวครึกโครมอยู่ช่วงหนึ่งนั่นก็คือกรณีของ ยุนอา จากวงที่หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักกันดีอย่าง Girls ‘Generation โดยตัวของ ยุนอา นั้นถือได้ว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่มีบุคลิกค่อนข้างจะเรียบร้อย แต่เมื่อบรรดาเหล่าแฟนคลับได้เห็นรอยสักของเธอปฏิกริยาต่อเธอก็เปลี่ยนไป เพราะว่าชาวเกาหลีส่วนใหญ่นั้นยังมองผู้หญิงที่มีรอยสักอยู่ในแง่ลบจำนวนมาก
อีกหนึ่งเคสของรอยสักเกาหลีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันนั่นก็คือกรณีของ ฮัน ซอฮี นักแสดงจากซีรีย์ “The World of Couples”
โดยเธอนั้นมีรอยสักขนาดใหญ่อยู่ที่บนแขนของเธอ และนั่นเองก็ทำให้เธอนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างนัก จนทำให้ในที่สุดเธอก็ต้องตัดสินใจไปลบรอยสักตรงนั้นออก
และนี่แหละก็คือเรื่องราวความเป็นมาของรอยสักเกาหลีที่ส่งผลค่อนข้างมากต่อวัฒนธรรมของเกาหลีอยู่ในปัจจุบันนี้