เรื่องราวการสักที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อต่าง ๆ ของคนไทย

เรื่องราวของรอยสักนั้นเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศเองก็มีความเชื่อ และ วัฒนธรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับรอยสักอย่างมากมาย และ ในประเทศไทยเราเองก็เช่นกัน แต่ทว่ารอยสักของไทยเราในสมัยนั้นมันไม่ได้มีลวดลายที่สวยงามเหมือนกับในปัจจุบันที่เราได้เห็นกันอยู่ เพราะว่าวัตถุประสงค์สมัยก่อนชายไทยนั้นมักจะนิยมการสักยันต์เพื่อเหตุผลทางเวทมนตร์คาถา และ มันยังกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกแข็งแกร่ง และ คงกระพัน นั่นเอง และเพราะเรื่องราวขอการสักยันต์ที่มันอยู่กับคนไทยเรามาตั้งแต่โบราณนี้เอง มันจึงทำให้ประเทศไทยของเราเองก็มีความเชื่อหลาย ๆ อย่างที่ผูกพันอยู่กับการสักเช่นกัน และนั่นเองจึงกลายมาเป็นหัวข้อของเราในครั้งนี้นั่นก็คือ เรื่องราวการสักที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อต่าง ๆ ของคนไทย ซึ่งความเชื่อต่าง ๆ นั้นจะมีอย่างไรบ้าง และ ประเพณีวัฒนธรรมการสักของไทยที่ถูกสืบต่อมาจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า เรามาเริ่มต้นบทความในครั้งนี้กันเลยดีกว่า

จุดเริ่มต้นของรอยสักยันต์ และ ความเชื่อ

ส่วนใหญ่แล้วในสมัยก่อนนั้นการสักของไทยมักจะนิยมสักกันมาในหมู่ชายฉกรรจ์ แต่ก็ใช่ว่าใครที่อยากจะสักก็สักได้เลยเหมือนกับสมัยนี้ เพราะว่าก่อนที่จะเริ่มการสักนั้นมันจำเป็นที่จะต้องมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อหลาย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำพิธีไหว้ครู รวมถึงในขณะที่สักนั้นตัวคนที่สักให้จะมีการสวดคาถาบางอย่างลงไปด้วย และหลังจากสักเสร็จแล้วลวดลายของอาจารย์แต่ละคนนั้นก็จะมีความแตกต่างกัน มันจึงทำให้ผู้ที่ต้องการจะสักนั้นสามารถที่จะเลือกลายจากอาจารย์แต่ละคนได้ตามความต้องการ โดยรอยสักส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบนร่างกายนั้นมักจะมาสัตว์ในเทพนิยาย และ อักษรขอม รวมถึงเลขยันต์ ซึ่งทั้งหมดนี้มันสามารถที่จะนำมาผสมกันภายในลายสักเดียวกันได้ และนั่นเองคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การสักของอาจารย์แต่ละท่านให้รอยสักไม่เหมือนกันนั่นเอง

ส่วนจุดเริ่มต้นของตำนานรอยสักไทยนั้น ไม่อาจจะระบุได้ว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่หลาย ๆ คนนั้นเชื่อว่าการสักยันต์เพื่อให้ร่างกายอยู่คงกระพันนั้นมีมานานแล้ว โดยเราสามารถเห็นได้จากในวรรณคดีอย่างขุนช้าง ขุนแผน และ รวมไปถึงวรรณคดีในสมัยโบราณอื่น แต่ทว่าค่านิยมของการสักที่ถูกมองไปในทางลบของไทยเองก็มีมาตั้งแต่โบราณด้วยเช่นกัน เพราะว่าในยุคสมัยก่อนนั้น การสักยันต์ต่าง ๆ ไว้บนร่างกายก็ยังถูกมองว่าผู้ที่สักนั้นมักจะเป็นนักเลง และเพราะการมองในเชิงลบนี้เองที่ทำให้ศิลปะบนผิวหนังนี้เกือบจะสูญหายไปจากสังคมไทย

รูปแบบการสักยันต์แบ่งออกเป็นกี่ประเภท

โดยรูปแบบการสักแต่ละชนิดนั้นจะมีความขลังที่แตกต่างกัน และ มันสามารถทำให้ผู้ที่สักรอดพ้นจากสถานการณ์ต่าง ๆ ได้แตกต่างกันเช่น การสักหนังเหนียวที่จะทำให้ศัตรูไม่สามารถยิงกระสุนออกจากลำกล้องปืนได้ นอกจากนั้นศิลปะรอยสักของไทยเหล่านี้ยังเป็นส่วนช่วยในการกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดความเชื่อมั่น ความมั่นใจ และมันยังเป็นอีกหนึ่งทางหนึ่งที่ช่วยให้เขามีจิตใจมั่นคงมากยิ่งขึ้น 

ส่วนลายสักที่มักจะมีความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ อาจารย์นั่นก็คือ ลายหนุมาน  ลายเสือเผ่น ลายยันต์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งแม้ว่ามันจะมีความคล้ายกัน แต่ลักษณะรูปร่าง และ โครงสร้างนั้นอาจจะมีความแตกต่างกันเช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า รวมถึงเครื่องประดับของหนุมานเป็นต้น โดยในปัจจุบันลวดลายที่นิยมสักกันมักจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด นั่นก็คือ การสักเพื่อให้ผลทางเมตตามหานิยม และ เพื่อผลทางการอยู่ยงคงกระพัน

ประเภทของการสักยันต์

การสักเพื่อให้ผลทางเมตตามหานิยม มักจะเลือกสักเป็นรูปจิ้งจก หรือ เป็นสาลิกา เพื่อให้มันกลายเป็นตัวแทนของความมีเสน่ห์และกลายเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป นอกจากนั้นแล้วมันยังให้ผลดีในทางเจรจาค้าขายให้เจริญรุ่งเรือง 

ส่วนถ้าสักลายเพื่อผลในทางด้านคงกระพันชาตรี ลายสักมักจะมีลวดลายเกี่ยวกับตัวแทนของความดุร้าย และ ความปราดเปรียว รูปถึงยังคงมีความสง่างาม และ กล้าหาญ ซึ่งลายสักส่วนใหญ่นั้นจะเป็น ลายเสือเผ่น หนุมานคลุกฝุ่น หรือบางอาจารย์ก็อาจจะสักลวดลายที่เหมือนเป็นกับเกราะป้องกันอันตรายต่าง ๆ เช่น เก้ายอด ยันต์เกราะเพชร 

แต่ถึงจะเป็นลายสักยันต์ในรูปแบบไหนก็ตาม สิ่งที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญ และ เป็นแก่นแท้ของการสักเพื่อให้ผลก็คือ คาถาที่ใช้ในการกำกับลวดลายต่าง ๆ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นเคล็ดลับวิชาอาคมขั้นสูงที่จะไม่มีการเปิดเผยอันเด็ดขาด 

ตำแหน่งของร่างกายมีผลต่ออิทฤทธิ์ของการสักยันต์

แต่ทว่ารอยสักยันต์เองก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนุ่นที่นิยมสักเพื่อความสวยงาม โดยการสักเหล่านั้นจะไม่ได้เกี่ยวข้องการผลทางไสยศาสตร์ ดังนั้นมันจึงเป็นการสักให้มีความสวยงามเฉย ๆ จะไม่มีการลงอักขระ หรือ เลขยันต์ต่าง ๆ 

นอกจากนั้นแล้วการสักยันต์นั้นยังไม่ใช่เพียงแค่การสักไปต่างร่างกายส่วนต่าง ๆ เท่านั้น เพราะว่าตำแหน่งของการสักนั้นก็มีผลเช่นกัน โดยรอยสักต่าง ๆ ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ควร ไม่เช่นนั้นความขลังของรอยสักยันต์จะไม่เกิด ซึ่งโดยส่วนมากแล้วผู้มาสักนั้นจะพยายามที่จะให้ลายสักของตัวเองอยู่ภายในร่มผ้ามากที่สุด และตำแหน่งสักยอดนิยมมากที่สุดก็คือ หลัง หน้าอก คอ ศีรษะ ไหล่ แขน ชายโครง หน้า มือ และหัวเข่า 

และเพราะการที่รอยสักต่าง ๆ นั้นต้องการผลทางไสยศาสตร์มันจึงทำให้ผู้สักให้จำเป็นต้องเป็นผู้มีคาถาอาคม จึงทำให้อาจารย์สักส่วนใหญ่มักจะเป็น พระภิกษุ หรือ เกจิ อาจารย์ชื่อดังต่าง ๆ 

เคยมีคนสักยันต์อยากลบรอยสักบ้างไหม ?

มีผู้สักยันต์อีกจำนวนไม่น้อยที่อยากจะลบทิ้ง ซึ่งเหตุผลที่ทำหลาย ๆ คนอยากลบทิ้งนั่นก็คือ เมื่ออายุมากขึ้นลายสักบนผิวหนังนั้นจะดูเลอะเทอะ และนั่นก็ทำให้หลาย ๆ คนที่รู้สึกรังเกียจ และ ไม่อยากเข้าใกล้ หรือ บางรายเองก็รู้สึกว่ารอยสักยันต์ดังกล่าวไม่สามารถให้ผลทางไสยศาสตร์ได้ แต่การจะลบรอยสักจากการสักยันต์นั้นถือได้ว่าค่อนข้างยากกว่าการสักแบบธรรมดาเสียหน่อย เนื่องจากสักยันต์นั้นน้ำหมึกที่ถูกแทงด้วยมือมันลึกเข้าไปในชั้นผิวหนังมากกว่า จึงทำให้ถ้าทำการลบรอยสักยันต์ออก แผลบริเวณนั้นอาจจะดูไม่ค่อยสวย ซึ่งวิธีที่แก้ที่สุดโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นก็คือ ลอกผิวหนังตรงที่มีรอยสักทิ้งแล้วเอาส่วนอื่นของร่างกายมาแปะไว้  

แต่เพราะวิธีการลบรอยสักที่ยุ่งยากเหล่านี้จึงทำให้เกิดอีกหนึ่งทางเลือกในการสักขึ้นนั่นก็คือ การสักน้ำมัน โดยการสักชนิดนี้จะไม่สามารถมองเห็นลวดลาย และ สามารถที่จะแก้ปัญหาในการที่คุณต้องการจะลบรอยสักในภายหลังเมื่อไม่ต้องการได้  แต่เพราะการที่มันไม่สามารถมองเห็นได้นี่เองจึงทำให้ลวดลายของการสักยันต์ต่าง ๆ ที่นิยมมาตั้งแต่เดิมค่อย ๆ สูญหายไป รวมถึงเพราะยุคสมัยที่มีความเจริญขึ้นของทางเทคโนโลยีจึงทำความเชื่อหลาย ๆ อย่างเสื่อมถอยลงไป แต่ถึงแบบนั้นแล้วการสักยันต์ในปัจจุบันก็ยังกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการที่เหล่าผู้คนใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ

และนี่ก็คือ เรื่องราวการสักที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อต่าง ๆ ของคนไทย ที่เราได้เอามานำเสนอให้ทุก ๆ คนได้ทราบกัน ซึ่งเราเชื่อว่าแม้ว่าในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีจะพัฒนาขึ้นมาขนาดไหนก็ตาม แต่ยังแรงศรัทธาในหัวใจของมนุษย์นั้นก็เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกและไม่อาจลบเลือนได้ง่าย และนั่นก็คือสาเหตุที่ยังทำให้การสักยันต์ยังอยู่คู่กับสังคมไทย