บทความของเราในเว็บไซต์นี้ได้บอกไว้อยู่หลาย ๆ ครั้งแล้วว่า เรื่องทัศนคติของคนไทยที่มีต่อรอยสักในปัจจุบันนั้นแม้จะเป็นสิ่งที่เปิดกว้างมากกว่าแต่ก่อน แต่ทว่ามันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่กลายเป็นที่ยอมรับทั้งหมด และแน่นอนว่าการที่จะทำให้เรื่องราวของรอยสักได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างได้นั้น สิ่งที่ผู้มีรอยสักหลาย ๆ คนต้องการให้มีนั่นก็คือ การมีใครสักคนมาให้ความรู้ หรือ สร้างความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของวงการรอยสัก ซึ่งในต่างประเทศเองก็มีผู้เชี่ยวชาญ หรือ ศิลปินช่างสักระดับโลกหลาย ๆ คนทำกันอย่างกว้างขวาง แต่สำหรับประเทศไทยของเรานั้นมันอาจจะไม่ได้เยอะเหมือนดังเช่นต่างประเทศ แต่ถ้าถามว่ามีไหมเราก็ตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า มี โดยชายคนนั้นก็คือ ปอ หรือดีเจปอ – วรฐก์ ปิฏกานนท์ และนั่นเองจึงทำให้ในวันนี้ เราจะขอพาทุก ๆ คนไปทำความรู้จักกับ การตีแผ่สังคมรอยสักของชายผู้หลงรักมัน ปอ TATTOO BROTHERS ซึ่งเรื่องราวของเขาคนนี้จะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า เราไปเริ่มกันเลยดีกว่า
ทำความรู้จักกับ ปอ TATTOO BROTHERS
โดยเราแทบจะกล้าพูดได้เลยว่า ดีเจปอ – วรฐก์ ปิฏกานนท์ นั้นน่าจะเป็นคนที่อยู่ในวงการบันเทิงแรก ๆ เลยที่กล้าออกมาเปิดเผยรอยสักของเขาให้คนในประเทศไทยได้รู้ แถมเขาคนนี้นี่แหละคือคนที่สร้างช่อง YouTube ที่พูดถึงเรื่องราวการสักอย่างจริงจังผ่านรายการที่มีชื่อว่า Tattoo Brothers สักแต่พูด ซึ่งเนื้อหาของรายการในชาแนลของเขาก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างเข้าใจง่าย และไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นัก
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ตัวของ ดีเจปอ เริ่มสักนั้นมันเกิดขึ้นในช่วงที่เขามีอายุประมาณ 17 – 18 ปี โดยในตอนนั้นตัวของเขานั้นชื่นชอบนายแบบชาวสิงคโปร์คนหนึ่งที่ชื่อว่า ลีออน โดยเขาคนนั้นได้มีรอยสักเป็นรูปดอกกุหลาบ ซึ่งในตอนนั้นตัวของปอเองยังแยกระหว่างรอยสักจริง กับ สติกเกอร์ไม่ออกด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะว่าดีเจปอได้ตัดสินใจไปสักตามรอยสักนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และนั่นเองมันก็ทำให้การสักครั้งนั้นกลายเป็นบทเรียนของชีวิตเขาเวลาที่จะแนะนำคนอื่นสัก เนื่องจากตัวของดีเจปอนั้นได้บอกว่าจริง ๆ แล้วการที่เราจะสักครั้งแรก มันควรจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงตัวตนของเราจริง ๆ มากกว่าที่จะไปสักเพียงเพราะเลียนแบบคนอื่น
ความผิดพลาดที่เริ่มพาตัวเองเข้ามาสู่เส้นทางการสัก
ถึงแม้ว่าตัวของดีเจปอจะมองว่ารอยสักครั้งแรกมันคือความผิดพลาดของเขา แต่ว่ามันกลับเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ตัวเขานั้นเริ่มศึกษาเรื่องราวของรอยสักทั้งแบบธรรมดา และ แบบ Custom ก่อนที่จะเลือกให้พวกมันมาอยู่บนร่างของเขาอย่างจริงจังมากขึ้น โดยบนร่างกายของเขานั้นจะถูกแบ่งออกเป็นรอยสัก 2 สไตล์ใหญ่ ๆ นั่นก็คือ การสักแนวทิเบต และ การสักในสไตล์ Old School New School
รอยสักทิเบต และ ภาพของเทพเจ้าที่อยู่บร่างกายดีเจปอ
โดยลายสักแนวทิเบตส่วนใหญ่ที่ตัวของดีเจปอเลือกนั้น จะเป็นลวดลายเกี่ยวกับเทพเจ้าและสัญญะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามความเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ดวงตาที่ 3 ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความหมายในเชิงของการคุ้มกันภัย และ การหยั่งรู้
ซึ่งตัวของปอมันจะเลือกแทรกความเชื่อเกี่ยวกับ ดวงตา ไปตามรอยสักส่วนต่าง ๆ ของเขาทั่วตัวแบบเนียน ๆ โดยเขาต้องการที่จะสื่อว่า มนุษย์อย่างเราไม่รู้อนาคต ไม่รู้จิตใจของคนที่อยู่ตรงหน้า หรือการไม่รู้แนวทางในการดำเนินชีวิต ดังนั้นการมีดวงตาที่ 3 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความหยั่งรู้จึงเป็นเหมือนกับสิ่งที่จะช่วยคุ้มครองตัวเอง
นอกจากงานที่เกี่ยวกับทางด้านความเชื่อของดวงตาที่ 3 แล้ว ตัวของปอยังมีรอยสักอื่น ๆ เช่น รอยสักรูปหอยสังข์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเหมือนดั่งเช่นเครื่องกำเนิดเสียงเพลงซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นอาชีพของเขาที่เป็นตัวดีเจ
รอยสักแนว Old School และ New School
โดยรอยสักแนวนี้ตัวของดีเจปอนั้นเลือกที่จะสักแยกเป็นชิ้น ๆ โดยไม่ได้มองถึงความหมายของมันให้ลึกซึ้งนัก เพราะว่าเขาเลือกสักตามประเภทของงานแต่ละแบบไป โดยสาเหตุที่เขาเลือกลายสักแต่ละชิ้นก็เพราะว่าความชื่นชอบในงานนั้น ๆ และต้องการที่จะสะสมมันเอาไว้บนร่างกายของเขานั่นเอง
มุมมองต่อการสักตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
และจากการที่ตัวของดีเจปอเองก็คลุกคลีอยู่ในวงการสักมาอย่างยาวนาน นั่นจึงทำให้ตัวของเขาได้เห็นพัฒนาของวงการนี้ค่อนข้างจะลึกกว่าหลาย ๆ คน และนั่นเองก็ทำให้ตัวของปอมองว่า วงการสักเมืองไทยมีการเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เนื่องจากหลาย ๆ อาชีพเริ่มมองว่าคนที่มีรอยสักไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว และทัศนคติของคนในสังคมไทยที่มองว่าคนนี้จะเป็นคนดี หรือ คนเก่งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรอยสักอีกต่อไปแล้ว
หนำซ้ำรอยสักยังกลายเป็นสิ่งที่สร้างคาแรคเตอร์ให้กับคนคนนั้นได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นอาชีพบาร์เทนเดอร์ หรือ เจ้าของร้านสัก หรือ ร้านเสริมสวย ที่เราต่างก็มองว่ารอยสักพวกนี้คือสิ่งที่เสริมความโดดเด่นและผลงานทางด้านศิลปะให้กับพวกเขา แต่ถ้าถามว่ามันยังมีอาชีพที่ไม่เปิดกว้างกับรอยสักอยู่ไหม มันก็มีเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วอาชีพเหล่านั้นจะเน้นไปที่การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และ การสร้างความน่าเชื่อถือ
แต่เรื่องราวของ การตีแผ่สังคมรอยสักของชายผู้หลงรักมัน ปอ TATTOO BROTHERS ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ เพราะด้วยความที่เขาอยู่กับวงการนี้มาอย่างยาวนานมันจึงมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่ถูกสะท้อนผ่านตัวเขาออกมามากมาย
ซึ่งตัวตนของเขาคนนี้จะสะท้อนภาพของวงการสักไทยออกมาอย่างไรอีกบ้าง เอาไว้เดี๋ยวเราค่อยมาติดตามกันต่อในบทความหน้า