สารบัญ ลายสัก รอยสัก

เรื่องราวและประวัติความเป็นมาของเครื่องมือสัก


4 Advantages Of Custom Tattoo Machines - FAD Magazine

หลาย ๆ คนที่ได้อ่านบทความของเราที่เขียนภายในเว็บไซต์นี้กันมาหลายต่อหลายบทความแล้ว เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะพอรู้กันดีอยู่แล้วว่าเรื่องราวของรอยสักนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานมามากกว่าจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เสียอีก และแน่นอนแหละว่าการจะสักลงไปบนร่างกายได้นั้น การที่มีเพียงน้ำหมึกอย่างเดียวมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ตามมานั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า เครื่องสัก นั่นเอง ซึ่งแน่นอนแหละว่าสมัยก่อนนั้นเครื่อสักนั้นไม่มีหน้าตาเหมือนกับอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เพราะในสมัยนั้นเครื่องไม้เครื่องมือของมนุษย์นั้นยังไม่ได้มีความก้าวหน้าขนาดนี้ จึงทำให้ในวันนี้เราจะพาทุก ๆ ย้อนรอยเรื่องราวของเครื่องสักตั้งแต่ในสมัยอดีตมาจนถึงปัจจุบันกัน ว่ารูปแบบของแต่ละเครื่องสักนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าใครพร้อมแล้ว เราไปเริ่มดูกันเลย

โดยบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เราสามารถเห็นเรื่องราวของเครื่องสัก

ในสมัยโบราณได้อย่างแน่ชัดที่สุดเริ่มต้นในยุคอียิปต์โบราณ ซึ่งรอยสักเหล่านั้นจะถูกสะท้อนออกมาในรูปแบบของสัตว์ และ เทพเจ้าโบราณ ซึ่งหลักฐานที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุดนั่นก็คือรอยสักต่าง ๆ ที่พบอยู่ตามร่างกายของมัมมี่ที่มีอายุย้อนไปถึงระหว่าช่วง 300 กว่าปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว ซึ่งรอยสักเหล่านั้นถูกสักโดยมีจุดประสงค์ในการต่อกรกับเหล่าวิญญาณที่จะมาใช้ร่างนั่นเอง

ส่วนวิธีการสักนั้นเครื่องสักในสมัยนั้นก็ยังใช้หลักการเดียวกับปัจจุบันนั่นก็การทำให้เม็ดสีคาร์บอนที่ในตอนนั้นได้มาจากเขม่าต่าง ๆ ถูกแทรกเข้าไปอยู่ในชั้นผิวแท้ ซึ่งเครื่องสักในตอนนั้นจะมีลักษณะหลายเข็มและมันยังมีขนาดใหญ่ มัเลยทำให้ครอบคลุมและสักรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนเข็มในแต่ละจุดจะทำมาจากแผ่นทองสัมฤทธิ์

สี่เหลี่ยมที่ถูกพับเข้าด้านในให้ปลายด้านหนึ่งโผล่ออกมา จากนั้นก็จะตอกให้เป็นรูปร่าง และใช้เข็มหลายอันผูกติดกันก่อนจะนำไปติดกับด้ามไม้ และ จุ่มลงในเขม่าเพื่อทำการสัก

หลังจากนั้นเครื่องสักก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

โดยเครื่องมือการสักที่ค่อนข้างจะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในยุคถัดมานั่นก็คือ เครื่องสักที่เรียกว่า Ta Moko ซึ่งเครื่องสักนี้เราจะพบเห็นในการสักแบบโพลินีเซียม ซึ่งการสักชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นการสักอีกหนึ่งรูปแบบที่มีประวัติศาสตร์ค่อนข้างยาวนาน แถมยังมีความสวยงาม เพราะว่าการสักเหล่านี้เป็นการสักรูปแบบเฉพาะของชาวเมารีที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างนิวซีแลนด์นั่นเอง 

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วลายสักนี้จะถูกจารึกเอาไว้บนใบหน้า และสัญลักษณ์ของรอยสักจะถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของชนเผ่าใด ชนเผ่าหนึ่ง โดยจะมีการระบุตำแหน่ง และ ชื่อรวมถึงสถานะต่าง ๆ ไว้อีกด้วย

โดยเครื่องสักของชนเผ่าเมารีนั้นจะถูกเรียกว่า อุฮิ ซึ่งมันจะทำมาจากกระดูกที่แหลมคม และ มีด้านเป็นไม้เพื่อใช้ในการแต่งแต้มลวดลายที่ไม่เหมือนใครเข้าสู่ร่างกาย แต่ก่อนที่จะเริ่มทำการสักนั้นชาวเผ่าเมารีจะมีการฝังหมึกที่มาจากการเผาเปลือกไม้ให้ไหม้จนกลายเป็นสีดำ และจากนั้นพวกเขาก็เอาผงเหล่านั้นตอกนำร่องเข้าไปรอยสักด้วยเครื่องมือที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับสิ่วมีขนาดประมาณ ¼ นิ้ว แต่ก็น่าเสียดายที่ประเพณีการสักแบบนี้ของชาวเมารีไม่อาจจะอยู่ยืนยงมาได้จนถึงตอนนี้ เพราะในช่วง กลางศตวรรษที่ 19 ได้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการล่าอนานิคมขึ้น และ นั่นเองก็ทำให้ชาวเผ่าเมารีจำนวนมากถูกฆ่าตาย จนทำให้ประเพณีการสักแบบนี้ค่อย ๆ หายไป ก่อนที่จะได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งในปัจจุบัน

เครื่องสักประเภทต่อมานั่นก็คือ เครื่องที่มีชื่อเรียกว่า Dayak โดยจริง ๆ

เครื่องสักประเภทต่อมานั่นก็คือ เครื่องที่มีชื่อเรียกว่า Dayak โดยจริง ๆ

แล้วชื่อนี้ถูกเรียกตามชมเผ่า Dayak ที่อาศัยอยู่บนเกาะบอเนียว ซึ่งเผ่านี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเผ่าที่มีทักษะประเพณีการสักสืบต่อกันมาหลายร้อบปี ซึ่งเครื่อสักของพวกเขานั้น เข็มจะถูกสร้างขึ้นจากหนามของต้นส้ม ส่วนหมึกนั้นจะทำมาจากส่วนผสมของเขม่า และ น้ำตาล ซึ่งการออกแบบรอยสักต่าง ๆ ของเผ่า Dayak นั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการสักของชนเผ่านี้นั้นถือได้ว่ามีมากมายหลากหลายไม่ว่าจะ การสักเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษ หรือบรรลุนิตภาวะ รวมถึงยังเป็นตัวบ่งบอกแสดงถานะทางสังคม หรือ ความสนใจ อีกด้วย

อีกหนึ่งเครื่องสักที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้นั่นก็คือเครื่องมือที่สักของชาว Haida

โดยชาวไฮดาจะอาศัยอยู่บนเกาะนอกชายฝั่งตะวันตกของแคนดาเมื่อช่วงเวลามประมาณ 12,500 ปี ซึ่งเครื่องสักของพวกเขาจะมีลักษณะคล้าย ๆ กับของญี่ปุ่นอยู่ค่อนข้างมาก แต่ทว่าวิธีการใช้งานนั้นค่อนข้างแตกต่างกัน โดยการสักของชาวไฮดาในปัจจุบันนั้นถือได้ว่าหาชมค่อนข้างยากแล้วโดยการสักของชาวไฮดานั้นจะถูกสักขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงความสมบูรณ์ของผืนป่า รวมถึงยังเป็นการสักเพื่อใช้ในการแบ่งทรัพย์สินอีกด้วย

ส่วนเครื่องสักของชาวไฮดานั้นจะใช้ไม้แท่งยาวเป็นด้ามและจะมีการติดเข็มเข้าไว้ที่ปลายด้าม ส่วนหมึกนั้นจะได้มาจากการนำหินลิกไนท์ไปบดผสมกับน้ำจนออกมากลายเป็นสีดำสนิท แต่สิ่งที่ทำให้ชาวไฮดามีรอยสักที่น่าสนใจมากกว่าชนเผ่าอื่น ๆ นั่นก็คือ ในตอนนั้นชาวไฮดานับได้ว่าเป็นชนเผ่าไม่กี่ชนเผ่าที่มีการมีการใช้สีในการสักร่างกายนอกจากสีดำ นั่นก็คือ สีแดงนั่เอง

อีกหนึ่งเครื่องสักที่น่าสนใจนั้นก็คือ เครื่องสำหรับสักยันต์ของไทยเรานั่นเอง 

โดยประเพณีการสักยันต์ของคนไทยแบบโบราณของไทยเรานั้นมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้ว แต่ถ้าพูดถึงสมัยที่ทำให้การสักยันต์ถูกพูดถึงมากขึ้นก็คงจะเป็นในสมัยของ

พระเนรศวรมหาราช  ซึ่งในตอนนั้นบ้านเมืองของเราค่อนข้างมีการสู้รบบ่อย จึงทำให้บรรดาเหล่าทหารนิยมการสักยันต์มากขึ้นเพื่อที่จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจก่อนไปสู้รบ และหลังจากนั้นการสักยันต์ก็ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนผู้ที่สักให้ในสมัยก่อนส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์  ซึ่งพวกท่านจะทำเครื่องสักขึ้นมาเองโดยใช้ไม้ไผ่แล้วลับจนคม หรือ บางท่านก็จะใช้ไม้ไผ่ผูกกับเข็มปลายเข็มแล้วจุ่มน้ำหมึก่อนที่จะจารึกลงไปบนร่างกาย และนอจากการสักด้วยน้ำหมึกแล้ว ของไทยยังมีการสักที่เรียกว่า สักน้ำมัน นั่นก็คือการเปลี่ยนจากน้ำหมึกเป็นน้ำมันแทนนั่นเอง

เครื่องสักต่อมานั่นก็คือเครื่องมือสักที่เรียกว่า Japanese Tebori

โดยเทคนิคการสักแบบนี้มีขึ้นตั้งแต่ ศตวรรษที่ 17 และมันก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน โดยคำว่า Tebori นั้นจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การแกะสลักด้วยมือ ซึ่งการสักวิธีนี้ก็ตรงตามชื่อของมันเลย เพราะว่าวิธีการสักแบบนี้ช่างสักจะใช้มือในการสักลงบนร่างกายล้วน ๆ เลยนั่นเอง

ส่วนเครื่องสักนั้นจะทำมาจากไม้ที่ถูกพันไว้ด้วยชุดเข็มโลหะ ซึ่งทางภาษาญี่ปุ่นนั้นจะเรียกว่า โนมิ ซึ่งหลังจากพันโนมิลงบนไม้เรียบร้อยแล้วช่างสักก็จะใช้เข็มสักนั้นทิ่มลงไปบนผิวหนังเป็นจังหวะ และ เพราะการสักที่ใช้กระบวนการแบบมือล้วน ๆ เลยนี่เองจึงทำให้การสักแบบนี้ค่อนข้างที่จะกินเวลากว่าการสักชนิดอื่นอยู่มากเลยทีเดียว แต่ทว่ามันก็แลกมาด้วยการไล่ระดับของเฉดสีที่สวยงามมากยิ่งขึ้นนั่นเอง แถมผู้ที่สักแบบนี้ได้จะต้องมีความชำนาญค่อนข้างมากเพราะในการสักชนิดนี้จะมีตัวแปรหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น มุม ความเร็ว ความแรง 

เครื่องสักต่อมานั้นก็คือ เครื่องที่มีชื่อเรียกว่า Victorian Era Tattoo  หรือ ปากกาของ 

เอดิสัน นั่นเอง โดยหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นชื่อว่า Thomas Edison ผู้ซึ่งเป็นคนประดิษฐ์หลอดไฟที่เราน่าจะเคยได้ยินในหลาย ๆ ตำราเรียน แต่ทว่าเขายังมีสิ่งประดิษฐ์อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ปากกาไฟฟ้า ซึ่งจริง ๆ แล้วเจ้าปากกาไฟฟ้านี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการทำสำเนาเอกสาร และ ฉลุลายต่าง ๆ ผ่านทางลูกกลิ้งหมึก มันจึงกลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งอยู่บริเวณด้านบนของปลายปากกา จึงทำให้ผู้ที่จะใช้เข็มแบบนี้ต้องมีความรู้ด้านไฟฟ้าอยู่พอสมควร จึงทำให้ตอนนั้นเจ้าเครื่องนี้เป็นเครื่องที่ยากเกินกว่าความเข้าใจของคนทั่วไป แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว จากปากกาของ

เอดิสันอันนี้นี่แหละที่ได้กลายเป็นต้นแบบของเครื่องสักที่เราได้ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

และแล้วหลังจากเวลาผ่านมา 15 ปีหลังจากที่ตัวของเอดิสันได้ออกแบบปากกาไฟฟ้ามา ในที่ชุดก็ได้ถือกำเนิดเครื่องสักไฟฟ้าของจริงชิ้นแรกขึ้น นั่นก็คือเครื่องสักที่มีชื่อว่า เครื่องสักไฟฟ้าของ O’Reilly โดยตัวของ Samuel O’Reilly นั้นเป็นช่างสักชาวไอริส – อเมริกัน โดยเขาคนนี้จดสิทธิบัตรสำหรับเข็มสักตัวแรกของโลก โดยตัวของเขานั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งช่างสักที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ในปลายทศวรรษ 1880 จนกระทั่งในปี 1891 ตัวของ O’Reilly ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีปากกาไฟฟ้าของเอดิสัน ทำให้เขาได้เพิ่มเข็มเข้าไปในเครื่องนั้นเป็น 2 อัน และ เพิ่มกระบอกเก็บน้ำหมึกเข้าไปในเครื่อง ก่อนที่จะปรับมุมของกระบอกจนทำให้ได้เครื่องสักไฟฟ้าชิ้นแรกของโลกขึ้น

โดยเครื่องสักไฟฟ้าชิ้นนี้ของ O’Reilly สามารถที่จะเจาะลงไปบนผิวหนังถึง 50 ครั้งต่อวินาที และความเร็วนี้เอง บวกกับประสบการณ์สักที่มีค่อนข้างมากของ O’Reilly มันจึงทำให้สิ่ง ๆ นี้กลายเป็นสิ่งที่ผลิกวงการการสักไปโดยสิ้นเชิง

ลายสัก HOT

บทความลายสักล่าสุด

หมวดหมู่ลายสัก

สารบัญ ลายสัก รอยสัก