สารบัญ ลายสัก รอยสัก

อานนทร์ พีรนันทปัญญา ช่างสักผู้ต้องจองคิวกันแบบข้ามปี Part  4

หากพูดเรื่องราวของช่างสักในเมืองไทยนั้น เราเชื่อว่าในเมืองไทยของเรานั้นมีช่างสักที่มากฝีมือ และ เก่งอยู่ ๆ มากมายหลายคน โดนแต่ละคนนั้นก็ไม่ได้ดังเพียงในเมืองไทยเท่านั้น แต่พวกฝีมือของพวกเขายังดังไกลไปถึงต่างประเทศ และ ถ้าหากให้เราลองนึกชื่อของช่างสักเมืองไทยที่มีฝีมือระดับโลก จนใครหลาย ๆ คนที่ต้องการจะสักกับเขาต้องจองคิวกันแบบข้ามปีแล้วละก็ ชื่อของชายที่ชื่อว่า อานนทร์ พีรนันทปัญญา หรือ ช่างมิ้น จะต้องกลายเป็นชื่อแรก ๆ ที่ถูกกล่าวถึงอย่างแน่นอน

ซึ่งในบทความก่อนหน้านั้นเราได้เล่าถึงเรื่องราวของวิถีชีวิตตั้งแต่เริ่มของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา ช่างสักผู้ต้องจองคิวกันแบบข้ามปี และรวมไปถึงเส้นทางในการสั่งสมประสบการณ์ของเขาจากการเดินทางไปสักยังประเทศเกาหลี เพื่อที่จะนำเงินทุนมาสร้างร้านสักเป็นของตัวเองกันไปแล้ว ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้อ่านบทความดังกล่าวเราขอแนะนำให้คุณลองย้อนกลับไปอ่าน เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจการใช้ชีวิตของเขาให้มากยิ่งขึ้นว่า กว่าที่ตัวของช่างมิ้นจะมายืนอยู่จนถึงจุดจุดนี้ได้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ส่วนสำหรับใครที่กำลังรออ่านเรื่องราวของเขาต่ออยู่นั้น ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วละที่เราจะพาทุก ๆ ไปพบเรื่องราวเส้นทางชีวิตของช่างมิ้นกันต่อ 

โดยก่อนหน้านี้เราได้บอกว่าไปว่าตัวของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา

นั้นได้ยึดถึงอาจารย์ระดับชั้นครูของวงการศิลปะไทย 2 ท่านอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี และ อาจารย์เฉลิมชัย เป็นต้นแบบในการเดินหน้าหาความสำเร็จของเขา ซึ่งตัวของชายคนนี้ ได้จำคำสอนที่ว่า ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ และ รวย เราต้องดูว่าคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นทำอย่างไร ไม่ใช่เดินไปถามเขาว่าทำอย่างไร ซึ่งการสังเกตและจดจำเหล่านั้นนี่แหละที่มันจะทำให้เราเข้าใจว่าเพราะอะไรคนที่ประสบความสำเร็จถึงได้เลือกทำแบบนั้น และจงอย่าไปคิดเพราะเพียงแค่ว่าเขาแปลกกว่าคนอื่น เพราะการที่เขาประสบความสำเร็จนั้นมันก็ทำให้เขาไม่เหมือนคนอื่นแล้ว แถมคนเราทุก ๆ คนก็ยังไม่เหมือนกันอีกด้วย

และนอกจากอาจารย์ศิลปะชั้นครูทั้ง 2 ท่านแล้ว จริง ๆ ตัวของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา เองก็ยังได้มีการศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จคนอื่น  ๆ ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์, บิล เกตส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ว่าพวกเขานั้นใช้ชีวิตอย่างไรจึงทำให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จมาได้ถึงขนาดนี้

และจากจุดเริ่มต้นที่เป็นเส้นทางนำไปสู่ความสำเร็จนั้นเอง หากไม่ได้นับเรื่องเงินแล้ว ตัวของช่างมิ้นเองก็ถือได้ว่าตอนนี้เขาก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลต้นแบบที่สามารถฝ่าฟันกับอุปสรรคต่าง ๆ จนมายืนในจุดจุดนี้ได้เช่นเดียวกัน แถมเรื่องที่ตัวของเขาทำอย่างการสักนั้น มันยังถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับศิลปะแนวนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ทว่าตัวของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา เองก็มองว่าถ้าเขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก และมันไม่ได้ผิดกฎหมาย หรือ ศีลธรรม มันก็ไม่ได้ผิด 

โดยตัวของเขายังได้เสริมคำพูดว่า บางคนนั้นอาจจะเคยขอพ่อ และ แม่ของตัวเอกไปสัก

ซึ่งก็น่าจะมีผู้ใหญ่หลาย ๆ คนไม่เห็นด้วย ซึ่งจุดมุ่งหมายของพวกท่านนั่นก็คือความหวังดี แต่ทว่าตัวของช่างมิ้นอยากให้รู้ไว้ว่า พ่อ แม่ ไม่ได้เลี้ยงเราไปจนตาย และ มนุษย์อย่างเรา ๆ มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการ นั่นก็จึงทำให้ในหลาย ๆ เคสเราจะได้เห็นว่าลูกสามารถดีกว่าพ่อแม่ได้ และถ้าลูกยังมัวแต่เชื่อฟังพ่อแม่ โดยไม่มีการแยกแยะ หรือ คิดเองได้ สิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการก็จะถอยหลัง ดังนั้นตัวของเขาจึงรู้สึกอยากให้พ่อ แม่ นั้นเปิดใจ และ เปิดโอกาสให้ลูกก้าวหน้า นั่นก็หมายถึงว่า การปล่อยให้ลูกได้เป็นฝ่ายเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง

โดยสาเหตุที่ทำให้ตัวของช่างมิ้นคิดแบบนั้นก็เพราะว่า ตัวของเขาเองก็ไม่ได้เชื่อพ่อ แม่ ทั้งหมดมาตั้งแต่เด็ก แต่ถึงแบบนั้นตัวของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา เองก็เชื่อว่าพ่อแม่นั้นรักเขา และ เขาก็รักพ่อแม่เช่นกัน แต่ว่ามันต้องแยกกันให้ออกระหว่างการบอกอะไรแล้วต้องทำตาม กับ ความรัก  

ซึ่งทัศนคติของรอยสักเมื่อก่อนนั้นใคร ๆ ก็มองว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นคนขี้คุก ขี้ยา ไม่มีงานทำ

และ ทำตัวเกเร แต่ทันทีที่โลกของเรามีสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตเข้ามา เขาก็คิดว่าสังคมได้เปลี่ยนไปและเลิกคิดเรื่องราวเหล่านั้นไปแล้ว แต่ทว่าในเมืองไทยนั้นกลับมองเป็นอีกอย่าง เพราะมันยังไม่สามารถที่จะลบทัศนคติของคนที่มีรอยสักจะต้องเป็นคนไม่มีอนาคต หรือ ช่างสักจะต้องเคยติดคุกมาก่อนได้ 

มันเลยทำให้ตัวของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา นั้นมองว่าคุณค่าความเป็นคนนั้นมันควรจะวัดจากผลของการกระทำ เช่นถ้าเป็นคนทำงานก็อยากให้วัดกันที่ผลงาน เหมือนอย่างที่ตัวเขาเคยวาดรูปการ์ตูนในสมัยเด็ก ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขาก็เป็นเด็กเกเร ตอนเรียนก็ดูเหมือนว่าจะไม่จริงจัง แต่สุดท้ายผลของการกระทำของเขามันก็ได้เป็นสิ่งยืนยันตัวตนของคนนั้น ๆ ว่า ใครเหมาะกับจุดจุดไหนมากกว่ากัน ซึ่งตัวของช่างมิ้นนั้นต้องการที่จะให้หลาย ๆ คนเปิดใจมองคนที่มีรอยสักจากจุดนี้เสียมากกว่ารูปลักษณะภายนอก เพราะการมองจากภายนอกนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเหยียด หรือ บูลลี่ ซึ่งตัวของเขาเองก็ต้องให้เรื่องนี้มันควรหมดไปจากประเทศไทยได้แล้ว

แต่เรื่องเหล่านั้นก็เป็นอดีตไปแล้ว เพราะว่าในปัจจุบันนี้ตัวของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา เองก็มองว่ามุมมองของสังคมประเทศไทยที่มองคนมีรอยสัก และ ช่างสัก เริ่มเปิดมากขึ้น และกำลังพัฒนาไปในทางที่ดี เพราะทุก ๆ อย่างถูกจัดระเบียบมากขึ้น ซึ่งตัวของช่างมิ้นเองก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการพูดว่า งานสักนั้นเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่ง และรอยสักก็ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่าคุณเป็นคนไม่ดี รอยสัก คือ รอยสัก ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล เพราะคนที่ชอบรอยสักอาจจะเป็นเพียงแค่คนที่ชื่นชอบความสวยงามของศิลปะแขนงนี้เท่านั้น

นอกจากนั้นแล้วตัวของช่างมิ้นเองก็ยังอยากให้ร้านสักหลาย ๆ ร้าน

รวมถึงตัวผู้ที่มาใช้บริการนั้นใส่ใจในเรื่องของความสะอาดมากขึ้น เพราะสิ่งสิ่งนี้มันเปรียบเสมือนกับหัวใจสำคัญของการสัก เพราะรอยสักไม่ใช่เพียงแค่การมานั่นเพ้นท์กันเล่น ๆ แต่มันจะติดตัวเราไปจนวันตายนั่นเอง

หากถามว่าคนที่กำลังท้อแท้แล้วจะได้อะไรจากการมองตัวตนของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา สิ่งที่พวกเขาได้กลับไปนั่นก็คือ เส้นทางชีวิตของเขา เพราะกว่าที่ตัวของช่างสักคิวทองคนนี้จะมายืนจนถึงจุดนี้ได้เขานั้นต้องพบความยากลำบากมากมาย แต่ในทุก ๆ ครั้งตัวของเขาก็ยังมองว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเหมือนกับศัตรูที่น่านับถือ และ ยังขอบคุณทุก ๆ ครั้งที่มีความยากลำบากผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะความลำบากเหล่านั้นมันจะทำให้ตัวของเขาไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตที่เรื่อยเปื่อยได้ 

ดังนั้นความยากลำบากที่ผ่านเข้ามานี่แหละมันจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวของเขารู้สึกทุกครั้งว่า ชีวิตคือสิ่งสำคัญ และต้องตั้งใจใช้มันอย่างมีคุณค่า โดยชีวิตตั้งแต่เด็กของตัวช่างสักคนนี้นั้นเผชิญความยากลำบากมาตั้งแต่ต้น และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เขามีภูมิคุ้มกันว่าเขาจะต้องทำอย่างไรไม่ให้ถูกความยากลำบากเหล่านั้นกลืนกิน จึงเป็นสาเหตุให้ อานนทร์ พีรนันทปัญญา ต้องคิดหาวิธีแก้ตลอด จนทำให้หลาย ๆ คนมองว่าเขานั้นเป็นคนคิดมาก แต่จริง ๆ แล้วเขากลับมองว่าตัวเองคิดมากในเรื่องที่ควรจะคิดมากกว่า 

เมื่ออ่านเรื่องราวชีวิตของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา มาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจมองว่าการไม่เรียนหนังสือก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้เหมือนกับตัวเขาอ แต่ทว่าช่างมิ้นมองว่าความคิดนั้นมันกลับเป็นเรื่องตรงกันข้ามเลยต่างหาก เพราะเขามองว่า จริง ๆ แล้วเรื่องการเรียนนั้นถือว่าสำคัญมาก ๆ แต่เราควรจะรู้ว่าเราเรียนสิ่งนั้นไปเพื่อที่เราจะเอาไปทำอะไรต่อในอนาคต เพราะทุกวันนี้ส่วนใหญ่หลาย ๆ คนก็เรียนเพื่อเอาใบปริญญามาให้พ่อแม่ แต่สำหรับตัวของเขาเอง เขากลับมองว่าทุกอย่างคือต้นทุน ดังนั้นการเรียนยังไงก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของ อานนทร์ พีรนันทปัญญา ช่างสักผู้ต้องจองคิวกันแบบข้ามปี ที่ทำให้เราได้เห็นแล้วว่ากว่าที่เขาจะมีวันนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนั่นเอง

ลายสัก HOT

บทความลายสักล่าสุด

หมวดหมู่ลายสัก

สารบัญ ลายสัก รอยสัก