หากเราจะมาพูดถึงเรื่องราวต้นกำเนิดของสิ่งที่เรียกว่ารอยสักกันจริง ๆ แล้ว เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ไม่ได้ลงลึกไปกับเรื่องราวประวัติศาสตร์คนไม่รู้อย่างแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่ารอยสักนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งถ้าจะให้เราพูดกันตรง ๆ เรื่องราวของรอยสักนั้นมันมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์มาอย่างยาวนามามากถึง 4,000 ปีมาแล้ว โดยหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนมากที่สุดนั่นก็คือการพบจากมันมี่ในยุคของสมัยอียิปต์โบราณ์นั่นเอง แต่ทว่าไม่มีใช่เพียงแค่อียิปต์ที่เดียวเท่านั้น เพราะว่าในสมัยอดีต เรื่องราวของรอยสักเองก็ยังมีการแพร่กระจายไปทั่วโลก และหนึ่งในที่ซึ่งรอยสักได้แพร่กระจายมาถึงและค่อนข้างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองนั่นก็คือ รอยสักญี่ปุ่น นั่นเอง
โดยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสักแล้วละก็ เราเชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอทราบกันดีว่า รอยสักญี่ปุ่น
นั้นถือได้ว่าเป็นรอยสักอีกชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างมีความสวยงามเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกแถมอายุของรอยสักญี่ปุ่นเองก็ถือได้ว่ามีความเก่าแก่ไม่แพ้กับรอยสักประเภทอื่น ๆ เพราะว่ารอยสักญี่ปุ่นนี้มีอายุความเป็นมายาวนานถึง 3000 กว่าปีแล้วนั่นเอง
โดยหลักฐานของรอยสักญี่ปุ่นที่สามารถพิสูจน์ได้นั้นถูกค้นพบครั้งที่ตุ๊กตาฮานิวะ ซึ่งถูกขุดพบพร้อม ๆ กับ หลุมศพของโชกุน โดยในวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าตุ๊กตาตัวนั้นมีอายุเก่าแก่ถึงประมาณ 2300 ปีกันเลยทีเดียว มันจึงทำให้บรรดาเหล่านักโบราณคดีต่างก็สันนิษฐานว่าผู้ที่จะมีรอยสักในตอนนั้นจะต้องเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นทหารกล้าในสมัยนั้น รวมถึงบางกลุ่มก็ยังเชื่อว่าการสักนั้นเป็นการแสดงยศหรือตำแหน่งของคนที่มีรอยสัก
แต่ทว่าการได้พบกับตุ๊กตาฮานิวะที่มีรอยสักอยู่ในหลุมศพของโชกุนเองก็ยังไม่ใช่ทฤษฎีทั้งหมดของรอยสัก เพราะว่ายังมีอีกหลาย ๆ กลุ่มคนที่เชื่อว่า การสักนั้น เปรียบเสมือนกับการทำเครื่องหมายของนักโทษเพื่อเป็นการประจานและให้ง่ายต่อการควบคุมตัวและระบุถิ่นที่อยู่นั้นเอง นอกจากนั้นรอยสักญี่ปุ่นในสมัยก่อนยังถูกนำมาใช้เพื่อระบุชนชั้นที่แตกต่างกันไปด้วย เช่นยการแยกทาสออกจากเจ้าของ
และเมื่อรอยสักญี่ปุ่นในสมัยนั้นมันได้มีการเกี่ยวข้องกับเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ อยู่บ่อยครั้ง มันจึงทำให้บรรดาเหล่าแก๊งอาชญากรรมเช่น ยากูซ่า หรือ มาเฟียญี่ปุ่น เองนิยมนำมาใช้เพื่อเป็นการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างแก็ง รวมถึงยังเป็นการเอารอยสักญี่ปุ่นมาใช้เพื่อเป็นการจารึกว่าคน ๆ นั้นสามารถทำผลประโยชน์ให้กับแก๊งไปได้มากขนาดไหน โดยคนไหนยิ่งมีรอยสักมากก็จะยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเก่ง
แต่ทว่าเราต้องยอมรับกันตามตรงว่าในสังคมปัจจุบันนั้น รอยสักญี่ปุ่น มันไม่ได้ทำหน้าที่แบบนั้นแล้ว
เพราะว่าในยุคปัจจุบันเรื่องของรอยสักกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าศิลปะบนเรือนร่าง เนื่องจากการออก และ การเล่นลวดลายที่สวยงาม จนทำให้หลาย ๆ คนลืมไปว่าแท้จริงแล้วรอยสักญี่ปุ่นในสมัยโบราณบางอย่างนั้น มันก็มีความหมายแฝงต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในรอยสักนั้น
โดยความหมายของรอยสักญี่ปุ่นที่ปรากฏแฝงอยู่นั้นส่วนใหญ่เรามักจะพบเห็นได้ในชนเผ่า ไอนุ ซึ่งเป็นนชนเผ่าโบราณของญี่ปุ่น แต่ทว่ารอยสักเหล่านี้จะนิยมสักในผู้หญิงซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการสักแต่ละตำแหน่งก็จะมีความหมายแตกต่างกันไปเช่น ถ้าสักที่มือก็จะแสดงให้เห็นถึงการยินยอมทำงานหนักเพื่อสามีไปชั่วชีวิต ส่วนถ้าสักบริเวณริมฝีปากนั้น มันจะถึงว่า หญิงสาวคนนั้นจะพูดแต่สิ่งดี ๆ เพื่อครอบครัว และ จะนับถือเทพเจ้าของพวกไอนุไปตลอดชั่วชีวิตนั่นเอง
นอกจากชนเผ่าไอนุแล้ว ในปี 2220 รอยสักญี่ปุ่นนั้นเริ่มมีการพัฒนาเข้าไปอยู่ในกลุ่ของหญิงสาวขายบริการ
, นักเที่ยว และ นักพนัน ซึ่งรอยสักในสมัยนี้จะเป็นการสักตัวหนังสือญี่ปุ่น หรือ จีน ที่มีความหมายไม่กี่คำเท่านั้น และเพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ในยุคสมัยนั้นบรรดาเหล่าคนชนชั้นสูงจะไม่นิยมสักกันเนื่องจาก พวกเขาเชื่อกันว่ารอยสักญี่ปุ่นเหล่านั้นจะมีเฉพาะพวกที่ใช้แรงงานหรือ โสเภณีเท่านั้น
หลังจากนั้นทัศนะคติของรอยสักญี่ปุ่นก็ได้เริ่มเปลี่ยนไปในปี 2293 โดยประเทศญี่ปุ่นได้มีการเปลี่ยนการปกครองในระบอบโชกุนไปเป็นการปกครองรูปแบบใหม่ และนั่นเองก็ทำให้บรรดาเหล่าผู้ชายเริ่มนิยมรอยสักญี่ปุ่นมากขึ้น จนเรียกได้ว่ามันแทบจะมีทั่วทุกเมืองในประเทศกันเลยทีเดียว มันจึงทำให้รอยสักญี่ปุ่นได้เริ่มมีการออกแบบลวดลายใหม่ ๆ และเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น
และหลังจากนั้นมันก็ได้เริ่มมีการแบ่งกลุ่มจากรอยสักขึ้นอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ส่วนใหญ่นั้นจะเป็ยคนที่อยู่ในวงการของการแสดงละครญี่ปุ่นที่เรียกว่า Kabuki แทน แต่เพราะบรรดาเหล่ากลุ่มคนที่มีรอยสักญี่ปุ่นนั้นมักจะเริ่มทำเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ รวมถึงทำมีเรื่องวิวาทอยู่บ่อย ๆ นั่นเอง มันจึงทำให้ในที่สุดทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องเข้ามาควบคุมเรื่องนี้อีกครั้ง โดนการออกกฏว่าหากใครมีรอยสักจะโดนโทษสถานหนัก และนั่นเองก็ทำให้เรื่องราวของรอยสักญี่ปุ่นได้กลับเข้าไปสู่ยุคมืดอีกครั้ง
โดยผู้ที่จะมีรอยสักญี่ปุ่นในตอนนั้นได้มีเพียงแค่บรรดาเหล่าอาสาสมัครกู้ภัยเท่านั้น
เพราะว่าในตอนนพวกเขาเชื่อกันว่ารอยสักของเหล่าอาสากู้ภัยจะเป็นสิ่งที่คอยป้องกันอันตรายในขณะทำงานนั่นเอง แต่ทว่าเพื่อเหล่ากู้ภัยเหล่านั้นมีคนเข้ามาอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังมีผลงานในการช่วยเหลือชาวบ้านจนบางทีก็มีโอกาสงัดข้อกับรัฐบาลอยู่บ่อย ๆ ทำให้ในที่สุดบรรดาเหล่าอาสากู้ภัยเหล่านั้นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่หลาย ๆ คนรู้จักนั่นก็คือ ยากูซ่า
หลังจากรอยสักญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคมือได้สักพักหนึ่ง เรื่องของรอยสักก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในปี 2400 ซึ่งหลังจากการกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งของรอยสักญี่ปุ่นนี้เองที่มันได้ทำให้ได้มีการออกแบบลวดลายที่มีเอลักษณ์และการใช้สีสรรที่ได้จากวัฒนธรรมของจีน และ ตะวักตกเข้ามาผสม รวมถึงยังได้มีการคิดค้นเข็มสักไฟฟ้าขึ้นเป็นผลสำเร็จในโอซาก้าอีกด้วย
ซึ่งรอยสักญี่ปุ่นในสมัยใหม่ของญี่ปุ่นที่คนมักกจะนิยมกันนั่นก็คือ รอยสักรูปมังกร ซึ่งอย่างที่ใครหลาย ๆ คนน่าจะพอทราบกันดีว่า มังกรนั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของอำนาจ และ แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งและรุนแรง แต่ถึงแบบนั้นแล้วมังกรยังถูกตีความออกไปในแง่ของพลังแห่งความดีและการเป็นผู้พิทักษณ์ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้นี่เองจึงทำให้มังกรนั้นอยู่คู่กับความเชื่อของชาวญี่ปุ่นและสะท้อนออกมาในรอยสักญี่ปุ่น
โดยความหมายแฝงของมังกรในรอยสักญี่ปุ่นนั้นจะเป็นการแสดงถึงพลัง และ ความแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ที่สักคนนั้นเป็นคนที่มีความดูนั่นเอง
อีกหนึ่งรอยสักญี่ปุ่นที่มีความเชื่อคล้าย ๆ กับมังกรนั่นก็คือ รอยสักนกฟินิกซ์ นั่นเอง เพราะว่าชาวญี่ปุ่นเองก็เชื่อว่านกฟินิกซ์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นตำนานเหมือนกับมังกร แต่ทว่าในด้านความหมายของมันนั้นจะแตกต่างกับมังกร เนื่องจากนกฟินิกซ์นั้นจะถูกไฟของตัวเองเผาตายเป็นเถ้าถ่านและเกิดใหม่อีกครั้ง ดังนั้นมันจึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะหรือการเอาชนะความท้าทายของเจ้าของรอยสักนั่นเอง และมันยังสามารถที่จะตีความหมายออกมาได้ว่า ผู้ที่สักสามารถเอาชนะช่วงเวลาที่ยากลำบากและสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นมาได้มากกว่าเก่านั่นเอง
อีกหนึ่งรอยสักญี่ปุ่นที่เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีนั่นก็คือ รอยสักรูปสิงโต ซึ่งเรามักจะพบสิงโตเหล่านี้ได้บ่อย ๆ ตามทางเข้างออกทั่วไปของศาลเจ้าญี่ปุ่น ซึ่งตามความหมายแล้ว สิงโตนั้นเปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และ การป้องกันตัว โดยผู้ที่สักรอยสักญี่ปุ่นที่เป็นรูปของสิงโต อาจจะสามารถตีความหมายได้อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การทำอะไรด้วยตัวของคุณเอง และ ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากันมัน
และนี่ก็คือเรื่องราวของรอยสักญี่ปุ่นและความหมายของรอยสักต่าง ๆ ที่เราได้นำมาฝากทุกท่านกัน แต่ทว่าความหมายของรอยสักญี่ปุ่นเหล่านั้นยังไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ เอาไว้เดี๋ยวโอกาสหน้า เราจะพาทุก ๆ คนไปพบกับความหมายลึก ๆ ของรอยสักญี่ปุ่นกันอีก ซึ่งจะเป็นเมื่อไหร่นั้น คุณต้องติดตามเว็บไซต์ของเรากันให้ดี tattooexpo09
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> ไฮโลไทยได้เงินจริง