สำหรับประเทศที่เป็นหมู่เกาะอย่างญี่ปุ่นนั้น ประเทศนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ค่อนข้างมีวัฒนธรรม แล ความเป็นเอกลักษณ์ของประเทศตัวเองสูง จนทำให้วัฒนธรรมเฉพาะตัวเหล่านั้นดังไกลไปทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมอย่างการแต่งตัว
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการ์ตูนอนิเมะต่าง ๆ รวมไปถึงเครื่องใช้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้วย แต่ถ้าสำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปะบนเรือนร่างอย่างการสักแล้วละก็ ประเทศญี่ปุ่นเองก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีวัฒนธรรม รวมถึง รอยสักที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนทำให้นักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ นิยมเดินทางเข้ามายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อต้องการทีจะให้ช่างสักดั่งเดิมของญี่ปุ่น จารึกรอยสักญี่ปุ่นสวย ๆ ลงบนร่างกายของเขา
ซึ่งเพราะวัฒนธรรมรอยสักญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีประวัติความเป็นมา
อย่างยาวนานนี้เองที่จำเป็นที่จะให้เราต้องแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะไม่ได้เป็นการยัดเยียดให้คนอ่านเหนื่อยจนเกินไป ซึ่งสำหรับใครที่เพิ่งมาเห็นบทความนี้เป็นครั้งแรก คุณสามารถที่จะย้อนกลับไปอ่านเรื่องราว และ ที่มาขอรอยสักญี่ปุ่นได้ในบทความเก่า ๆ ของเว็บไซต์เรา ส่วนสำหรับใครที่ตามอ่านบทความนี้อยู่ ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะพาทุก ๆ คนไปฟังเรื่องราวควาหมายของรอยสักญี่ปุ่นประเภทต่าง ๆ กันต่อ ซึ่งแต่ละรอยสักนั้นจะมีความแฝงอะไรอยู่อีกบ้างนั้น เอาเป็นว่า เราไปเริ่มกันเลยดีกว่า
หลังจากบทความเก่า ๆ เราได้พูดถึงเรื่องราวของ รอยสักญี่ปุ่น และความหมายต่าง ๆ กันไปบางชนิดแล้ว ตอนนี้เราก็ถึงเวลาที่เราจะมาพูดถึงรอยสักอื่น ๆ กันต่อ โดยรอยสักญี่ปุ่นแรกที่เราจะมาพูดกันในครั้งนี้นั่นก็คือ รอยสักซามูไร โดยรอยสักนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรอยสักที่ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น แต่ในทางกลับกันมันก็ไม่ได้ดังไปไกลถึงทางฝั่งยุโรป และ อเมริกา โดยรอยสักญี่ปุ่นลายซามูไรนี้จะเป็นรอยสักที่ค่อนข้างใช้รายละเอียดและสีสันค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการออกแบบจะถูกออกแบบตามขนาดของสรีระร่างกายของเจ้าของลอยสักเป็นสำคัญ
ซึ่งความหมายของรอยสักญี่ปุ่นลายซามูไรนั้นจะเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะและนิสัยของซามูไรที่เป็นตัวแทนของความเข้มแจ็ง แล ความกล้าหาญ รวมถึงมันยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชายที่มีเกียรติยศ และ มีวินัยในตัวเอง และ ความตายอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วรอยสักญี่ปุ่นลายซามูไรนี้มักจะถูกออกแบบให้มีสัญลักษณ์ต่าง ๆ อื่น ๆ เข้าไปด้วยเพื่อที่จะสื่อความหมายอื่น ๆ และเปลี่ยนแปลงความแข็งกร้าวของรอยสัก
รอยสักญี่ปุ่นลายต่อมาที่เราจะมาอธิบายความหมายของมันก็นั่นก็คือ
รอยสักลายเทพเจ้าญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วเทพเจ้าในความเชื่อของคนญี่ปุ่นเองก็มีอยู่หลายองค์ แต่ถ้าถามว่าองค์ไหนโดดเด่นที่สุด และ มักจะเห็นอยู่บนรอยสักอยู่เสมอก็คงจะหนีไม่พ้นเทพสายฟ้า ไรจิน โดยตามความเชื่อของคนญีปุ่นนั้นเชื่อว่า ไรจิน เป็นเทพเต้าที่ซุกซน จนทำให้บางคนเองก็ตีความออกมา ไรจิน เองก็จัดอยู่ในหมวดหมู่ของปีศาจก็มี และเพราะประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีฟ้าร้อง และ ฟ้าผ่าที่ค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากเป็นหมู่เกาะ จึงทำให้เด็ก ๆ มักจะกลัวไรจินเป็นอย่างมาก แถมยังมีความเชื่อว่าเทพเจ้า ไรจิน น้องชอบกินสะดือของเด็ก ๆ อีกด้วย นอกจากนั้นแล้วเรื่องราวของเทพไรจินยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปะต่าง ๆ ของญี่ปุ่นรวมถึงหนังสือการ์ตูนที่เราได้เห็นกันอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย
ส่วนรอยสักญี่ปุ่นของเทพไรจินนั้นส่วนใหญ่มักจะนิยมสักคู่กับ ฟูจิน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสายลมน้องของเทพไรจินนั่นเอง โดยการลงสีเทพไรจินในรอยสักญี่ปุ่นมักจะนิยมลงสีให้เป็นปีศาจที่มีสีแดงเขาเหลือง และมีไม้กลองอยู่ในมือ
รอยสักญี่ปุ่นลายต่อมาที่เราจะมาอธิบายความหมายของมันก็นั่นก็คือ รอยสักรูปลาคราฟ โดยในภาษาญี่ปุ่นนั้นปลาคราฟจะถูกเรียกว่า Koi ซึ่งมันจะแปลว่า ปลาตะเพียน โดยปลาคราฟนั้นจุดเด่นของพวกมันก็คือการมีหลากหลายสี รวมถึงเกล็ดของพวกมันก็มีลายที่ค่อนข้างงดงาม แถมปลาพวกนี้ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างดี และ ใส่ใจเป็นเพิเศษจึงทำให้พวกมันค่อนข้างมีราคาแพง
ซึ่งแน่นอว่าปลาคราฟนี้ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรอยสักญี่ปุ่นยอดนิยมที่เป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ เลยที่พูดถึงรอยสักญี่ปุ่น เพราะว่าเจ้าปลาคราฟนี้มันเป็นรอยสักญี่ปุ่นที่สามารถสักได้ทั้งผู้ชาย และ หญิง แถมมนต์ขลังของพวกมันอีกอย่างนั่นก็การอยู่ตามธรรมชาติที่สวยงาม และ มันยังถือได้ว่าเป็นสัตว์นำโชคของคนญี่ปุ่น และนั่นเองก็นำพามาซึ่งความหมายของ ความเจริญรุ่งเรือง ความมุ่งมั่น ความเป็นอิสระ และ ควาอุตสาหะ
รอยสักญี่ปุ่นลายต่อมาที่เราจะมาอธิบายความหมายของมันก็นั่นก็คือ รอยสักรูปดารุมะ ซึ่งแม้ว่าตัวตุ๊กตาดารูมะนั้นจะไม่เป็นเหมือนสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ที่น่าเชื่อถือเหมือนกับรอยสักอื่น ๆ ที่เราเคยกล่าวมานั้น แต่ถ้าให้สืบย้อนกันไปตัวของตุ๊กตาดารุมะนั้นเป็นตุ๊กตาที่สร้างจำลองมาจาก พระโพธิธรรม หรือ ตั๊กม้อ ซึ่งเป็นผู้ที่ก่อตั้งพุทธศาสนานิกาย เซน ในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
โดยเจ้าดารุมะนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรอยสักที่ชายญี่ปุ่นค่อนข้างชื่นชอบควาหมายของมัน เพราะเจ้าดารุมะนี้เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และ ความอุตสาหะ นอกจากนั้นเจ้าดารุมะยังเป็นส่วนหนึ่งของตำนาน พระโพธิธรรม ที่ตัดสินใจตัดเปลือกตาของตัวเองเพื่อไม่ให้ตนเองหลับในขณะที่เข้าสมาธิ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เจ้าตุ๊กตาดารุมะนั้นไม่มีขานั้นเนื่องมากจากหลังที่ตัวของ พระโพธิธรรม บำเพ็ญเพียรด้วยการจ้องกำแพงมานาน 9 ปี โดยที่เขาไม่ลุกขึ้นเลย มันจึงทำให้เขาขาลีบเล็ก จนไม่สามารถลุกขึ้นยื่นได้ และนั่นเองจึงทำให้เจ้าดารุมะไม่มีขาตาม
รอยสักญี่ปุ่นลายต่อมาที่เราจะมาอธิบายความหมายของมันก็นั่นก็คือ รอยสักนกกระเรียน ซึ่งรอยสักนนี้ก็ถือได่ว่าเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบหลักของรอยสักญี่ปุ่นที่ค่อนข้างได้รับความนิยมไม่แพ้กับรอยสักอื่น ๆ เลย นั่นก็เพราะว่านกระเรียนนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ลึกซึ่ง และ ศักดิ์สิทธิ์จนใครหลาย ๆ คนแทบไม่เชื่อ เพราะว่ามันมีตำนานหลาย ๆ เรื่องของญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับนกกระเรียน จนทำให้คนญี่ปุ่นมักจะเรียกนกกระเรียนด้วยประโยคติดปากว่า นกกระเรียนแห่งความสุข ซึ่งรอยสักญี่ปุ่นรูปนกกระเรียนนั้นจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสนให้เห็นอายุที่ยืนยาว เช่นเดียวกับ ความโชคดี และอายุยืนอีกหลายพันปี
รอยสักญี่ปุ่นลายต่อมาที่เราจะมาอธิบายความหมายของมันก็นั่นก็คือ
รอยสักพวกโยไค โดยคำว่า โยไค ในภาษาญี่ปุ่นนั้นจะแปลได้ว่า ภูตผี ปีศาจ และ วิญญาณ นั่นเอง ซึ่งบรรดเหล่าวิญญาณเหล่านี้ส่วนใหญ่ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นพวกมันจะมีลักษณะชั่วร้าย แต่ก็ยังมีบางชนิดที่มีความน่ารักอยู่ในตัว แต่สาเหตุที่ให้พวกโยไคเหล่านี้กลายเป็นหนึ่งในรอยสักญี่ปุ่นสุดฮิตนั่นก็เพราะว่า บรรดาเหล่าโยไคในญี่ปุ่นนั้นมีหลากหลายแบบให้เลือกเลยจริง ๆ
ซึ่งถ้าใครอยากมีรอยสักญี่ปุ่นแนวโยไคแล้วละก็ คุณสามารถที่จะเปิดหนังสือเกี่ยวภูตผีปีศาจพื้นบ้านแล้วเลือกจิ้มได้เลย เพราะภาพวาดของพวกมันนั้นมีให้คุณเอาไปเสริมเติมแต่งบนร่างกายของคุณได้อย่างหลากหลาย แต่ภูตผีแต่ละตัวก็มีควาสามารถแตกต่างกันไปดังนั้นมันจึงสามารถบอกบ่งบอกเอกลักษณ์บางอย่างในตัวของคนได้ และ อีกอย่างรอยสักญี่ปุ่นลายโยไคยังเป็นอีกรอยสักหนึ่งที่คุณสามารถดีไซน์จินตนการเพิ่มเติมได้อย่างสนุกสนาน
แต่การตีความรอยสักญี่ปุ่นที่เราเอามานำเสนอยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ซึ่งในครั้งหน้าเราจะมีรอยสักใดมานำเสนอพร้อมกับความหมายของพวกมันอีก เอาเป็นว่าไว้ครั้งหน้าเดี๋ยวเรามาติดตามกัน