เราเชื่อว่าใครที่มีคุณพ่อ หรือ คุณแม่ ที่อายุมากสักหน่อย หากคุณเดินไปถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการสักนั้น สิ่งแรกที่จะได้รับกลับมานั่นก็คือ การปฏิเสธ อย่าแน่นอน เพราะว่าผู้ใหญ่หลาย ๆ คนยังมองว่าศิลปะประเภทนี้ยังอยู่คาบเกี่ยวระหว่างความสวยงามอันมีเอกลักษณ์ กับ เรื่องราวของโลกแห่งอาชญากรรมอยู่
และหนึ่งในรอยสักที่มักจะถูกสะท้อนให้เห็นถึงสังคมของอาชญากรรมมากที่สุดตามที่หลาย ๆ คนคิดนั่นก็คือ รอยสักในสไตล์ญี่ปุ่น เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ได้ถูกปลูกฝังผ่านความทรงจำของเราผ่านทางหนัง หรือ สื่อต่าง ๆ มาโดยตลอด แต่คุณเคยลองคิดไหมว่านอกจากสังคมไทยของเราจะมองแบบนั้นแล้ว สังคมญี่ปุ่นเองจะมองรอยสักอันมีเอกลักษณ์ของพวกเขาเองเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ดังนั้นในครั้งนี้เราจึงจะขอพาทุก ๆ คนไปพบกับเรื่องราวของ ศิลปะรอยสักญี่ปุ่นมีความสวยงาม หรือ เข้าใกล้โลกของอาชญากร กัน ซึ่งมันจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เอาเป็นว่า เราไปเริ่มต้นเรื่องราวในครั้งนี้กันเลยดีกว่า
ประวัติศาสตร์รอยสักญี่ปุ่น
หากจะพูดถึงประวัติศาสตร์ของรอยสักญี่ปุ่นนั้น เราก็ต้องย้อนเวลากลับไปนานกว่า 2300 ปี โดยสิ่งแรกที่สามารถยืนยันถึงรอยสักที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้นั่นก็คือ ตุ๊กตาที่อยู่ในหลุมศพของโชกุน โดยรอยสักที่ถูกค้นพบนั้นอยู่บริเวณใบหน้าของตุ๊กตาตัวนั้น และนั่นเองก็ทำให้นักประวัติศาสตร์หลาย ๆ คนต่างช่วยกันตีความหมายของรอยสักนี้ โดยบางคนก็บอกว่านี่คือสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และ เป็นการบอกยศ ตำแหน่ง แต่ทว่าก็ยังมีนักประวัติศาสตร์อีกจำนวนหนึ่งเชื่อว่า โชกุนคนนี้อาจจะกระทำความผิด และโดนตีตราว่าเป็นนักโทษ
ซึ่งที่เกิดข้อสันนิษฐานอันนี้ขึ้นนั้นมาจากการที่สังคมญี่ปุ่นในสมัยนั้นได้มีการแยกคนที่มีรอยสัก กับ ไม่มีรอยสักจากกัน
โดยคนที่ไม่มีรอยสักก็จะเหมือนกับประชาชนทั่วไปธรรมดาเช่น พ่อค้า หรือ เจ้าหน้าที่ราชการ ส่วนคนที่มีรอยสักมักจะเป็นพวกซามูไรไร้นาย , โสเภณี , นักโทษ หรือพวกที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบวัฒนธรรมอันดีงานของสังคมในช่วงนั้น ๆ
การเปลี่ยนของความวัฒนธรรมการสักของญี่ปุ่น
หลังจากที่รอยสักของประเทศญี่ปุ่นนั้นใช้เพื่อการแบ่งแยกคนในสังคมอยู่นาน ต่อมาหลังจากที่ญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในปี 1750 และมีการเปิดประเทศ รวมถึงยังมีการลดชนชั้นต่าง ๆ ลง มันก็ทำให้บรรดาเหล่าผู้ชายในสมัยนั้นเริ่มนิยมในการสักมากขึ้น รวมถึงยังมีร้านสักที่เปิดให้คนที่ต้องการจะสักเดินเข้าไปสักได้เลย
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้นี่เองที่ทำให้มุมมองของสังคมญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนค่อนข้างมาก แต่ทว่าทุกอย่างก็ต้องพังทลายลงอีกครั้งเพราะว่าในตอนนั้นได้มีกฎใหม่ของทางรัฐบาลประกาศออกมาว่า หากคนธรรมดาคนไหนสัก คนคนนั้นจะต้องได้รับโทษ รวมถึงช่างที่จะสักได้จะต้องจบแพทย์เท่านั้นเนื่องจากมีการใช้เข็มในการประกอบวิชาชีพ
การประกาศนี้เองที่เหมือนกับฟ้าผ่าลงกลางวงการสัก เพราะว่าจากวัฒนธรรมที่กำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องหยุดชะงักลง
แต่ในทางกลับกันบรรดาเหล่าอาชญากรต่าง ๆ ก็เล็งเห็นถึงกฎข้อนี้ว่า การสักนั้นจะทำตัวของพวกเขาถูกแบ่งแยกออกจากสังคมอีกครั้ง และมันก็เหมือนกับการได้เข้าสู่โลกมืดอย่างแท้จริง จึงทำให้บรรดาเหล่าแก๊งใต้ดินและอาชญากรเริ่มนิยมการสักมากขึ้น จนทำให้รอยสักกลายเป็นสิ่งที่แบ่งแยกคนดี กับ ไม่ดีไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เรื่องราวของรอยสักกับโลกอาชญากรในประเทศญี่ปุ่นได้ลุกลามขึ้นไปอีกหลังจากการจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 รอยสักญี่ปุ่นถูกได้รับคำนิยามว่า อิเรซูมิ และมันก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของแก๊งยากูซ่าเพื่อเป็นการแสดงถึงความกล้าหาญ และ เป็นสัญลักษณ์ของแก๊งที่ใครยอมสักแล้วก็ไม่อาจจะแยกออกจากตัวได้
และเมื่อรอยสักของญี่ปุ่นถูกผนวกเข้ากับแก๊งยากูซ่าแล้ว มันจึงยิ่งทำให้โอกาสที่จะเปิดมุมมองใหม่ ๆ ทางสังคมต้องถูกฝังลึกลงไปมากกว่าเดิม เพราะบรรดาเหล่าคนชั้นสูงหลาย ๆ คนเริ่มไม่โอเคกับคนที่มีรอยสัก รวมถึงบรรดาสถานที่สาธารณะหลาย ๆ ที่ก็เริ่มไม่ให้คนที่มีรอยสักใช้บริการ ซ้ำร้ายคนที่มีรอยสักยังถูกกีดกันจากงานบางอย่างอีกด้วย จนทำให้ผู้ที่มีรอยสักในตอนนั้นต้องจำใจใส่เสื้อแขนยาวเพื่อปกปิดรอยสักจากสายตาที่ไม่เป็นมิตรของคนรอบข้าง
- รอยสักญี่ปุ่นในสายตาคนนอก
แม้ว่าคนญี่ปุ่นจะค่อนข้างมองรอยสักของประเทศตัวเองไปทางด้านไม่ดีก็ตาม แต่สำหรับชาวต่างชาติ พวกเขากลับมองว่ารอยสักสไตล์ญี่ปุ่นนั้นถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อันเลื่องชื่อ เพราะว่าแต่ละพื้นที่ก็จะมีรูปแบบรอยสักที่แตกต่างกันไป
แถมลวดลายมังกร คลื่น หรือปลาคาร์ป ก็ยังมีความสวยงาม ซึ่งความสวยงามเหล่านี้นี่แหละที่มันทำให้เรื่องราวของรอยสักญี่ปุ่นดังไกลไปถึงต่างแดน จนทำให้มีชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางเข้ามายังประเทศเพื่อจุดมุ่งหมายในการสักโดยเฉพาะ
ซึ่งกระแสความนิยมนี้นี่เองที่ได้ส่งผลต่อความคิดต่อรัฐบาลญี่ปุ่นจนทำให้ทางรัฐบาลขอความร่วมมือให้สถานที่สาธารณะต่าง ๆ อนุญาตให้ผู้ที่มีรอยสักสามารถเข้าใช้บริการได้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศมาส่วนใหญ่มักจะมีรอยสักติดตัวมา แต่ถึงว่าบางสถานที่จะผ่อนปรนให้ แต่วัฒนธรรมที่ฝังอยู่ในหัวของคนญี่ปุ่นเองก็ไม่สามารถที่จะรื้อออกไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน
และนี่ก็คือเรื่องราวของ ศิลปะรอยสักญี่ปุ่นมีความสวยงาม หรือ เข้าใกล้โลกของอาชญากร ที่เราได้เอามานำเสนอให้ทุกท่านได้เข้าใจกัน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นได้เจอเองก็ไม่ต่างกับทัศนคติของคนในเมืองไทยเรา แล้วคุณคิดละมีทัศนคติอย่างไรต่อรอยสัก