ประเทศญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นประเทศที่นอกจากจะมีวัฒนธรรมต่าง ๆ ค่อนข้างโดดเด่นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งทื่ถือได้ว่าเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกไม่แพ้กับวัฒนธรรมอื่น ๆ เลยนั่นก็คือ รอยสัก แต่ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้ชื่อว่ามีรอยสักที่ค่อนข้างสวยงามก็ตาม แต่กลับกลายเป็นว่า รอยสักต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นนั้นกลับไม่ได้รับการยอมรับมากเท่าที่ควร โดนคุณจะเห็นได้จากสถานที่ในสาธารณะต่าง ๆ ก็มีกฎห้ามคนที่มีรอยสักเข้าใช้บริการ
แต่ถึงจะมีกฎห้ามขนาดไหนก็ตาม มันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่ดีว่าบรรดาเหล่าช่างสักของประเทศญี่ปุ่นนั้นถือได้ว่าเป็นช่างสักที่มีผลงานระดับโลกมากมาย และหนึ่งในช่างสักที่มีผลงานระดับโลกและยังเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้วัฒนธรรมการสักของญี่ปุ่นยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้นั่นก็คือชายที่มีชื่อว่า Horimitsu ซึ่งหลาย ๆ คนที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับวงการสักมากนักอาจจะไม่รู้จักชื่อของเขาคนนี้ ดังนั้นเพื่อมารับชมความสุดยอดของเขา วันนี้เราจะมาขอพูดถึงเรื่องราวของ หนึ่งในตำนานช่างสักชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในวงการมาถึง 30 ปี HORIMITSU กัน ซึ่งเรื่องราวของเขาจะเป็นมา เป็นไปอย่างไร เอาเป็นว่าเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
ประวัติของ HORIMITSU
โดยตัวของ โฮริมิตสึ นั้นมีอีกชื่อในวงการที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกกันว่า มิตสึซัง โดยเขานั้นทำงานอยู่ในย่านอิเคะบุคุโระ ณ กรุงโตเกียว และอย่างที่เราได้เกริ่นให้คุณรู้ไปตอนต้นแล้วว่าตัวของเขาคนนี้ทำงานอยู่ในวงการสักมายาวนานถึง 30 ปี
มันจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชื่อเสียงของเขาถึงถูกพูดถึงในหมู่ของคนที่ชื่นชอบการสัก รวมถึงช่างสักด้วยกันเอง โดยสิ่งที่ทำให้เขาได้รับการนับถือจากช่างสักด้วยกันเองนั่นก็เพราะว่าตัวของเขาใช้เทคนิคการสักแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่า เทโบริ ซึ่งการสักสไตล์นี้มีอายุมายาวนานกว่า 400 ปี แถมการสักสไตล์นี้มันยังสามารถทำให้สีที่อยู่บนผิวหนังคงทนเหมือนกับวันแรกที่ไปสักได้เลยทีเดียว
เทคนิคการสักของ HORIMITSU
และเพราะการที่ตัวของ HORIMITSU เลือกจะใช้การสักสไตล์แบบนี้นี้เองที่ทำการสักของเขามักจะใช้เวลาที่นานกว่าปกติ เนื่องจากมันจำเป็นที่จะต้องอาศัยความพิถีพิถันมากกว่าปกติ เพราะเขาจะต้องใช้ปากกาสีส้มวาดภาพที่ต้องการจะสักลงบนผิวหนังก่อนที่จะค่อย ๆ ใช้ปากกาเส้นพู่กันวาดซ้ำอีกรอบ แถมที่สำคัญเลยก็คือตัวของช่างสักญี่ปุ่นรายนี้เลือกที่จะไม่ใช่เครื่องสักในการทำงาน เพราะว่าเขาชอบใส่ใบมีดสเตนเลสแบบด้านเดียวที่ซึ่งจะติดอยู่กับด้ามไม้กรีดย้ำ ๆ ลงไปบนผิวหนังเพื่อให้ได้ลวดลายตามที่เขาพอใจมากกว่า
ซึ่งไอ้วิธีการสักแบบเทโบรินี้ยังถือได้ว่าเป็นเทคนิคการสักที่ให้ความเจ็บปวดน้อยกว่าการใช้เครื่องสัก แถมยังทำให้เลือดออกน้อยกว่าซึ่งส่งผลให้แผลไม่อักเสบมากเท่าไหร่ แต่ข้อเสียของเทคนิคนี้เองก็มีเช่นกัน เพราะเทคนิคนี้จะทำให้ตัวผู้สักต้องนั่งทนเจ็บนานกว่าเดิม
แต่ถ้าจะให้พูดจริง ๆ แล้วตัวของ HORIMITSU เองก็สามารถทำงานประเภทเครื่องสักได้เช่นกัน แต่เขาก็มักที่จะเลือกพูดจาหว่านล้อมผู้ที่เข้ามาสักกับเขาให้สักด้วยวิธีนี้ก่อนอยู่ดี เพราะมันทำให้สีสันสดใส และ คงทน แถมส่วนใหญ่แล้วเขาก็สามารถหว่านล้อมได้สำเร็จอีกด้วย
ลวดลายต่าง ๆ ที่ HORIMITSU สักให้ลูกค้า
ลวดลายส่วนใหญ่ที่ตัวของ HORIMITSU สัก ส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนที่ดีไซน์ขึ้นมาเอง โดยต้นแบบหลักของเขามักจะมาจากภาพแกะสลักไม้โบราณของญี่ปุ่น ที่ถูกผสมผสานไปกับมุมมองใหม่ ๆ จากสิ่งรอบตัวของเขา โดยเฉพาะบรรดาเหล่าธรรมชาติตามต่างจังหวัดที่ยังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมเก่าแก่ แต่ถ้าถามว่ารอยสักไหนที่คนนิยมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น รอยสักมังกร
ลูกค้าหลักของ HORIMITSU
ในตอนแรกลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาหา HORIMITSU ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแก๊งยากูซ่า แต่ทว่าหลังจากที่ชื่อเสียงของเขาเริ่มดังขึ้น ก็เริ่มมีลูกค้าที่ทำอาชีพอื่น ๆ เข้ามารวมถึงยังมีลูกค้าจากต่างประเทศที่ชื่นชอบในงานฝีมือของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีคนดังอย่าง John Mayer และ Katy Perry เข้ามาเป็นหนึ่งในลูกค้าของเขา และนั่นเองจึงทำให้ตัวของช่างสักรายนี้จำเป็นจะต้องฝึกหัดภาษาอังกฤษระดับพื้นฐานโดยด่วนเพื่อต้อนรับบรรดาเหล่าลูกค้าต่างชาติ
มุมมองรอยสักของ HORIMITSU
ตัวของ HORIMITSU นั้นมองว่าการสักสไตล์ญี่ปุ่นนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเวลานานผ่านไปสักกี่สิบปี ศิลปะเหล่านี้ก็ยังคงเป็นหนึ่งในศิลปะที่อยู่ในโลกใต้ดินอยู่ดี และมันค่อนข้างยากที่มันจะขึ้นมาสู่กระแสหลักของสังคม เนื่องจากทางญี่ปุ่นเองก็ยังกฎหมายต่าง ๆ ที่บังคับใช้เกี่ยวกับรอยสักอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการต้องมีใบอนุญาตเพื่อรับประกันความปลอดภัย ซึ่งนั่นมันทำให้บรรดาเหล่าคนในวงการสักมองว่า กฎหมายเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างล้าหลังเอามาก ๆ นอกจากนั้นแล้ว HORIMITSU ยังมองว่ารอยสักของญี่ปุ่นเองก็ไม่มีทางเป็นป๊อปคัลเจอร์หลักของประเทศได้อยู่ดี
และนี่ก็คือเรื่องราวของ หนึ่งในตำนานช่างสักชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในวงการมาถึง 30 ปี HORIMITSU ที่เราได้นำเรื่องราว และ มุมมองต่าง ๆ ของเขามาเล่าให้กับทุกคนได้ฟังกัน ซึ่งมันแสดงให้เราได้เห็นแล้วว่าแม้เขาคนนี้จะอยู่ในประเทศที่มีรอยสักอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แต่เขาก็ยังต้องการจะผลักดันให้รอยสักของประเทศตัวเองกลายเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับอยู่ดี