หากจะกล่าวถึงนิยามของศิลปะในสมัยก่อนแล้วละก็ หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงการสร้างสรรค์ผลงานออกมาทางดินสอ หรือ ปลายพู่กัน แต่ทว่าเมื่อโลกพัฒนาขึ้นเส้นทางต่าง ๆ ของศิลปะหลาย ๆ แขนงก็พัฒนาขึ้นตามเช่นกัน และหนึ่งในศิลปะที่พัฒนาขึ้นตามมานั่นก็คือ รอยสัก โดยศิลปะชนิดนี้จะเป็นการใช้เข็มจุ่มน้ำหมึก และ ทิ่มแทงลงไปบนผิวหนังแทนผืนผ้าใบ
และเพราะความแตกต่างและไม่เหมือนใครของศิลปะแขนงนี้เองที่มันได้ทำให้หลาย ๆ คนต่างหลงใหล จนบางก็เลือกที่จะเป็นผู้ถูกสักให้มีศิลปะเหล่ามีอยู่ทั่วร่างกาย แต่สำหรับบางคนก็เลือกที่จะเป็นคนเนรมิตผลงานเหล่านี้ลงบนร่างกายของผู้อื่นแทน
และหนึ่งในคนที่เราจะมาพูดถึงกันในครั้งนี้ เขาคนนี้ก็เลือกที่จะมาเป็นคนที่สร้างศิลปะอันงดงามเหล่านี้ไว้บนตัวของคนอื่น โดยเขาคนนี้มีชื่อว่า ภาณุพงศ์ ลู ซึ่งวันนี้เราจะพาทุก ๆ คนไปพบกับเจ้าของฉายา LUJU TATTOOER กับผลงานที่สุดตราตรึงของโครงกระดูกกับดอกไม้ กัน ซึ่งเรื่องราวของเขาจะเป็นอย่างไรนั้น เอาเป็นว่าเราไปเริ่มกันเลยดีกว่า
ทำความรู้จักกับ ภาณุพงศ์ ลู
ถ้าสำหรับในวงการสักแล้วชื่อของ ภาณุพงศ์ ลู อาจจะไม่ใช่ชื่อที่หลาย ๆ คนจดจำเท่าไหร่นัก เพราะว่าเขาคนนี้ได้ใช้ชื่อในวงการว่า LUJU TATTOOER ซึ่งฉายานี้มันมาจากการเอาคำว่า ลู ในชื่อเขา มาผสมกับคำว่า จู ซึ่งย่อมาจากจูเนียร์เนื่องจากเขาเป็นน้องคนเล็กของบ้าน
โดยตัวของ LUJU TATTOOER นั้นจบการศึกษาจาก คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งในช่วงเวลาที่เขาเรียนอยู่นั้นเขาค่อนข้างชื่นชอบงานสัก เพราะเขามองว่างานประเภทนี้มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ โดยตอนแรกความชอบของเขายังอยู่ในแบบรอยสักขนาดเล็ก เพราะเวลาเขาเห็นรอยสักขนาดใหญ่ที่อยู่เต็มหลังนั้นมันจะทำให้เขารู้สึกกลัว ซึ่งกว่าที่จะหันมาชอบรอยสักแบบใหญ่ ๆ ก็เป็นตอนที่เขาเริ่มทำงานในสายอาชีพนี้จริง ๆ
เริ่มเข้าสู่วงการสัก
โดย ภาณุพงศ์ ลู ได้เริ่มมาทำงานในวงการสักจริง ๆ ก็ช่วงเวลาที่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ซึ่งในตอนนั้นเขากำลังหางานพิเศษทำ และ เขาก็ได้พบกับช่างสักจนทำให้เขาเริ่มรู้สึกสนใจจนไปหาอุปกรณ์มาลองสักดู ซึ่งในช่วงแรก ๆ เขาก็สักกับอุปกรณ์อย่างพวกหนังเทียม และหลังจากนั้นเพื่อนของเขาก็ได้ขอร้องให้ลองสักบนร่างกาย ซึ่งเขาก็ใช้เวลาฝึกสักบนร่างกายมนุษย์จริง ๆ อยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ผลงานของเขาก็ยังถือว่าออกมาไม่น่าพอใจสักเท่าไหร่นัก
ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ตัวของ LUJU TATTOOER ชื่นชอบงานสักนั่นก็คือ เขาชอบสีดำ เพราะการที่สีดำมาอยู่บนร่างกายของมนุษย์เรามันเป็นอะไรที่เท่เอามาก ๆ นอกจากนั้นเขายังหลงรักในช่วงเวลาที่ร่างกายขยับแล้วรอยสักมันเปลี่ยนแปลงไปตามร่างกายส่วนนั้น ๆ อีกด้วย
งานที่ผิดพลาดพาตัวของเขามาสู่ทุกวันนี้
ความเครียดคือสิ่งที่ตัวของ LUJU TATTOOER เองต้องเผชิญอย่างหนักในช่วงแรก แถมเขายังเคยสร้างผลงานที่ผิดพลาดออกมาอีกด้วย แต่มันยังเป็นโชคดีที่ผลงานผิดพลาดเหล่านั้นมันเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวที่มีความเข้าใจว่าตัวของเขานั้นเพิ่งเริ่มทำงานในวงการสัก และนั่นก็ทำให้ทั้ง 2 คนสามารถตกลงกันได้ว่าจะมาแก้รอยสักหลังจากที่แผลหาย
โดยทุกวันนี้ตัวของ LUJU TATTOOER ใช้วิธีในการฝึกฝนด้วยการเอารูปถ่ายจริงที่ตัวเองถ่ายเอาไว้ หรือ บังเอิญไปเจอมาใช้ในการฝึกวาด โดยตัวของเขาจะไม่ใช้งานที่เป็นรูปวาดในการฝึกเด็ดขาดเนื่องจากเขากลัวที่จะติดการใช้ภาพเหล่านั้นมากเกินไปจนกลายเป็นลอกผลงาน อีกทั้งวิธีการแบบนี้ก็เป็นวิธีการที่เขาเคยทำในสมัยเด็ก ๆ เขาจึงไม่อยากที่จะทำมันอีก
และกว่าที่ตัวของ LUJU TATTOOER จะฝึกจนชำนาญเขาก็ใช้เวลาถึง 3 ปี จนทำให้ในที่สุดมันก็กลายเป็นอาชีพเลี้ยงตัว และเขาก็เริ่มใช้พื้นที่บ้านเช่าของเขาด้านล่างเป็นร้าน ทำให้ในช่วงนั้นลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้บริการจะเป็นช่วงอายุ 23-27 ปี แถมที่น่าตกใจคือไม่ได้มีเพียงแค่นักศึกษาเท่านั้นที่เข้ามาใช้บริการ แต่ยังมีอาชีพอย่าหมอผ่าตัดมาใช้บริการอีกด้วย
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นกว่าคนอื่นของ LUJU TATTOOER
ตัวของ LUJU TATTOOER นั้นเกิดและเติบโตมากับรูปสัตว์ และ พืช เพราะในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่สมุทรปราการเขาก็จะได้พบกับบรรดาเหล่าสัตว์น้อยใหญ่มากมายเรียกว่าแทบจะทั้งวันทั้งคืน ส่วนเรื่องสรีระของร่างกายนั้น เขาเริ่มชอบมันในช่วงมัธยมเนื่องจากเขาได้เข้าไปวาดรูปพวกหุ่นนิ่ง และ คน ซึ่งการได้เห็นกล้ามเนื้อ กระดูก ที่มีรอยโค้ง รอยเว้า มันเป็นอะไรที่มีเสน่ห์ และ สวยงาม แถมในช่วงเรียนเขาก็ได้มีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งการค้นหาในครั้งนั้นนี่เองที่มันทำให้เขาได้พบว่าโครงกระดูกมันก็เหมือนกับภาพของการเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิต และนั่นจึงทำให้เขาสนใจงานนี้มากขึ้นไปอีก
แต่ถึงจะมีความชอบเหล่านั้นอยู่ในตัวแล้วก็ตามตัวของ LUJU TATTOOER ก็ยังคงพยายามหาเอกลักษณ์งานของเขาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็รู้สึกเหนื่อยเนื่องเพราะยิ่งวิ่งตามเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักที แถมงานของเขาก็ยังขายไม่ออกอีกด้วยแต่แล้วประตูของเขาก็ถูกเปิดออกในช่วงทำ Thesis
โดยเขาได้เจอเข้ากับหนังสือที่มีชื่อว่า Fusion of Living Creatures ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะเป็นการเอาแมลง และ
พืชหายากในรูปแบบต่าง ๆ มาผสมผสานกันจนกลายเป็นรอยสัก ซึ่งพอตัวของ LUJU TATTOOER ได้เจอกับหนังสือเล่มนี้เขาก็ได้พักงานสักของเขา แล้วหันกลับมาวาดรูปอีกครั้ง จนทำให้เขาได้พบกับการดีไซน์กระดูกกับดอกไม้ให้เข้ากัน ซึ่งหลังจากที่เขามั่นใจในงานแนวนี้ของเขาแล้ว เขาก็ได้เอางานนี้ไปเสนอขาย ซึ่งมันก็ขายได้จริง ๆ
และพอรอยสักแรกขายได้แล้ว ก็มีหลายคนทักมาให้เขาสักรูปกระดูกกับดอกไม้อีกมากมาย ซึ่งเขามองว่าเสน่ห์ของเจ้ารอยสักนี้มันคือการเล่นกับสรีระร่างกายมนุษย์ โดยตัวของ LUJU TATTOOER จะชอบดีไซน์ให้ลวดลายที่เขาสร้างนั้นเลาะไปตามกล้ามเนื้อ อีกทั้งเขายังมองว่าการผสมผสานของทั้ง 2 สิ่งนี้เข้าด้วยกันมันเป็นเหมือนกับการแสดงให้เห็นถึงวัฏจักร และความเป็นธรรมชาติของโลกใบนี้
แต่เรื่องราวของ LUJU TATTOOER กับผลงานที่สุดตราตรึงของโครงกระดูกกับดอกไม้ ยังไม่ได้เพียงเท่านี้ เพราะว่าสิ่งที่เขาได้เจอในวงการนี้ยังมีอยู่อีกมากมาย ซึ่งประสบการณ์ในวงการนี้จะสอนอะไรให้เขาอีกบ้าง เอาไว้เดี๋ยวเราค่อยมาติดตามกันต่อในบทความหน้า