หากจะพูดเอกลักษณ์แต่ละท้องถิ่นที่สามารถสร้างเป็นเอกลักษณ์และดึงดูดทุกสายตาจนกลายเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาระดับประเทศได้แล้ว เราเชื่อว่าสิ่งที่เรียกว่า รอยสัก เองก็เป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน โดยเฉพาะรอยสักญี่ปุ่น ที่เราถือว่าโดดเด่นทั้งเอกลักษณ์ของการดีไซน์ และยังรวมไปถึงการไล่เฉดสีต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาถึงบทความนี้เราได้เล่าถึงลายสักญี่ปุ่นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร รวมถึงรอยสักในรูปแบบต่าง ๆ ว่าแต่ละชนิด แต่ละแบบมันมีความหมาย และมันมีความนิยมมากน้อยอย่างไรไปแล้ว ซึ่งใครที่เพิ่งมาเจอบทความนี้เป็นครั้งแรก เราอยากจะขอแนะนำให้คุณไปลองซึมซับกับเรื่องราวก่อนหน้านี้เสียก่อน ส่วนถ้าใครเคยอ่านผ่านตากันมาแล้ว ตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาฟังเรื่องราวความหมาย และ เอกลักษณ์ของรอยสักญี่ปุ่นกันต่อ ซึ่งเนื้อหาในบทความนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า
เอาละมาเริ่มเรียนรู้เรื่องราวของรอยสักญี่ปุ่นและความหมายแฝงต่าง ๆ ของมันกันต่อดีกว่า โดยรอยสักที่เราจะมาพูดถึงในครั้งนี้นั้นก็คือ รอยสักแมวกวักนำโชค หรือ ชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ Maneki Neko โดยเจ้าแมวกวักนำโชคตัวนี้จะมีจุดเด่นนั่นก็คือ อุ้งเท้าที่อ้วนป้อมของมันที่มีเอาไว้สำหรับนำโชคลาภ ความมั่งคั่ง เข้ามานั่นเอง
โดยเจ้าแมวกวักนำโชคนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะเครื่องรางนำโชค และ จะทำให้ผู้ที่ครอบครองมันค้าขายรุ่งเรือง ซึ่งเราเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นเจ้าแมวกวักนำโชคพวกนี้อยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นกันไม่ใช่น้อย แถมในมือของเจ้าแมวกวักตัวนี้ก็จะมีการถือเหรียญทองเอาไว้ ซึ่งแน่นอนแหละว่าเมื่อมันได้กลายเป็นสิ่งที่เปรียบเสมือนตัวแทนของศิลปะญี่ปุ่น เจ้าแมวกวักตัวนี้ก็เลยกลายมาเป็นรอยสักญี่ปุ่นที่ค่อนข้างได้รับความนิยมไปแพ้กับรอยสักอื่น ๆ แถมมันยังค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศแถบตะวันตก และ แถบตะวันออกเอง เนื่องจากความหมายของมันคือการให้โชคทางการค้าแบบตรงโดยไม่จำเป็นต้องตีความหมายมากนั่นเอง
รอยสักญี่ปุ่นอีกหนึ่งลายที่เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะประทับใจรอยสักลายนี้เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ ลายมังกร นั่นเอง
โดยถ้าพูดถึงสัตว์ในตำนานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในรอยสักของประเทศญี่ปุ่นนั่นก็คือ มังกร เพราะว่ามังกรของญี่ปุ่นนั้นถูกมองว่ามันเป็นดั่งสัญลักษณ์ของปัญญา และ ยังมีความเข้มแข็งอันลึกซึ้ง เนื่องจากตามตำนานส่วนใหญ่แล้วมังกรตามความเชื่อของญี่ปุ่นมักจะช่วยเหลือคน แต่เมื่อมันกลายมาเป็นรอยสักลวดลายของมังกรนั้น ๆ ก็มีความแตกต่างกันออกไป โดยบางศิลปินก็เลือกที่จะเอาร่างของสัตว์ต่าง ๆ ทั่วโลกเข้ามารวมกันเป็นรูปลักษณ์ของมังกร และเพราะความสวยงามของลายมังกรนี้เองที่ทำรอยสักนี้กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่หลาย ๆ คนตัดสินใจบินข้ามน้ำ ข้ามทะเล เพื่อมายังประเทศญี่ปุ่น โดยหวังที่จะมีลายมังกรติดตัวกลับไป
หลังจากที่เราเรียนรู้เรื่องราวของรอยสักญี่ปุ่นแบบต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมรวมถึงความหมายต่าง ๆ ที่อยู่ในตัวรอยสักกันไปแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รอยสักญี่ปุ่นนั้นกลายเป็นที่นิยมของคนทั่วโลกนั่นก็เพราะว่า รอยสักแบบนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรอยสักที่จำเป็นจะต้องใช้สรีระทางร่างกายของเจ้าของรอยสักเป็นองค์ประกอบสำคัญ เนื่องจากการวางตำแหน่งรอยสักให้ถูกต้องนั้นมันจะเป็นการดึงเอาศักยภาพของลวดลายต่าง ๆ ให้มีความน่าสนใจมากขึ้นอีกหลายเท่านั้น และสิ่งเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ได้รับสืบต่อกันมาอย่างเป็นวงกว้างและค่อนข้างยาวนานมาก ๆ อีกด้วย ดังนั้นเราจึงจะพาทุก ๆ มาดูกันต่อว่าวิธีการวางตำแหน่งรอยสักญี่ปุ่นให้ดูสวยงามนั้นควรจะวางไปที่ตำแหน่งไหนบ้าง
โดยตำแหน่งแรกที่ของรอยสักญี่ปุ่นที่เราจะมาพูดถึงกันนั่นก็คือตำแหน่งบริเวณขา ซึ่งจริง ๆ แล้วตำแหน่งนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่ค่อนข้างได้รับความนิยมมาก ๆ ในการสัก เพราะลายสักขนาดเต็มขานั้นถือได้ว่าเป็นลายสักที่สามารถสร้างความอลังการมาก ๆ ให้กับรอยสักญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี แถมยิ่งรอยสักเหล่านั้นมันสามารถเล่าเรื่องราวถึงตัวของคนสักได้มากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้คุณค่าของรอยสักบริเวณขาเหล่านั้นยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น
ตำแหน่งต่อมาที่ทำให้รอยสักญี่ปุ่นนั้นดูมีมนต์เสน่ห์และดูขลังมาก ๆ
นั่นก็คือตำแหน่งบริเวณแขนนั่นเอง ซึ่งแน่นอนแหละว่าตำแหน่งนี้น่าจะเป็นตำแหน่งสุดเท่ที่คนมีสักรอยสักมักจะนิยมกัน เพราะว่าตำแหน่งบริเวณแขนนั้นมันสามารถที่จะสร้างเรื่องราวผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ ของลวดลายได้ค่อนข้างลงตัวที่สุด ส่วนรอยสักญี่ปุ่นยอดนิยมที่คนมักจะเลือกสักกันลงไปบริเวณแขนนั้นมักจะนิยมลายปลาคราฟ และ ลายมังกร เนื่องจากเมื่อรอยสักเหล่านี้พออยู่คนแขนแล้วมันจะค่อนข้างโค้งรับกับส่วนเว้าของท่อนแขนได้เป็นอย่างดี
ตำแหน่งต่อมาที่ทำให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ หน้าอก
ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นลายสักที่เชื่อมต่อมายังแขน ซึ่งเชื่อมรอยสักด้วยการใช้ลมมาช่วยในการเล่าเรื่อง เพราะตัวเชื่อมในการเล่าเรื่องนี้เองจึงทำให้ช่างสักนั้นสามารถที่จะใส่ตัวละครต่าง ๆ ลงไปบนตำแหน่งใดก็ได้ของรอยสักเหล่านั้น ซึ่งรอยสักญี่ปุ่นบนหน้าอกนั้นก็มีหลายลายที่น่าสนใจและสามารถวางอยู่บนตำแหน่งนี้ได้อย่างสวยงาม เช่น ลายมังกร ลายสักคาบูกิ และ ลายสักปลาคราฟเป็นต้น
ตำแหน่งต่อมาที่ทำให้รอยสักญี่ปุ่นดูสวยงามมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ บริเวณหัวไหล่
ซึ่งเราอาจจะพูดว่ารอยสักบริเวณหัวไหล่นี้น่าจะเป็นรอยสักที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทยแล้ว เนื่องจากบริเวณหัวไหล่นั้นถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่คนส่วนใหญ่มักจะนิยมสักในสมัยที่เรื่องของรอยสักยังไม่ได้ยอมรับจากสังคม เพราะว่ามันสามารถปกปิดได้ง่ายที่สุดนั่นเอง
และเพราะตำแหน่งบริเวณหัวไหล่นั้นสามารถเชื่อมกับหน้าอกได้ จึงทำให้ตำแหน่งบริเวณนี้สามารถสักลวดลายอันสวยงามเพิ่มขึ้นได้อย่างมากไม่ว่าจะเป็นลายหน้าพระพุทธรูป หรือ ลายซามูไร
ตำแหน่งต่อมาที่ทำให้รอยสักญี่ปุ่นดูสวยงามมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ การสักแบบเต็มหลัง
โดยการสักแบบเต็มหลังนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อยเลย เนื่องจากคุณจำเป็นที่จะต้องมีความอดทนสูงเอามาก ๆ ในการสักรูปแบบนี้ แถมไม่ใช่แค่ความอดทนที่สูง แต่ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับรอยสักประเภทนี้ก็ถือได้ว่าสูงเช่นกันเพราะว่าแค่ราคาเริ่มต้นก็อาจจะสูงมากถึง 20,000 บาท ไปแล้ว แถมยิ่งรายละเอียดของลวดลายยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปเท่าไหร่มันอาจทำให้ราคาพุ่งสูงไปถึงหลักแสนได้เลยก็เช่นกัน
แต่ทว่าก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่ชื่นชอบรอยสักญี้ปุ่นแบบเต็มหลังแบบนี้ เนื่องจากองค์ประกอบของรอยสักแบบโบราณนั้นมันค่อนข้างโดดเด่นและสามารถวางลงบนตำแหน่งไหนก็ได้อย่างลงตัว แถมพื้นที่ของหลังซึ่งเป็นขนาดใหญ่นั้นยังสามารถวางลวดลายต่าง ๆ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและแสดงถึงเอกลักษณ์ที่เป็นตัวคุณเองได้อย่างคมชัด จึงทำให้ลายสักแบบเต็มหลังนั้นค่อนข้างที่จะมีรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น สักนกอินทรี ลายสักซามูไร ลายสักงูเป็นต้น
เพราะรอยสักญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นที่นิยมไปอย่างกว้างขวางแล้ว และได้กลายเป็นหนึ่งในแฟชั่น มันก็มักจะกลายเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ของคนที่คิดจะสัก นอกจากนั้นแล้วยังมีช่างสักจากทางยุโรปอีกหลาย ๆ คนที่ตัดสินใจมาร่ำเรียนวิธีการสักแบบญี่ปุ่นโบราณ และ ได้นำเอาแนวคิดเหล่านั้นไปผสมผสานเข้ากับสไตล์การสักแบบยุโรปจนทำให้รอยสักญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่างที่เราได้บอกเอาไว้ว่าลวดลายเหล่านี้จะไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้เลยถ้าหากคุณไม่เรียนรู้ว่าลายสักญี่ปุ่นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไรเสียก่อน