ในหนึ่งรอยสักที่เกิดขึ้นบนร่างกายของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นรอยสักขนาดเล็ก รอยสักขนาดใหญ่ หรือรอยสักประเภทต่าง ๆ
เราเชื่อว่าในทุก ๆ รอยสักที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายสำหรับตัวผู้สักอยู่เสมอ ๆ ซึ่งในมุมมองภายนอกนั้น บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นเพียงแค่สิ่งสวยงาม หรือต่อให้เรารู้ว่ารอยสักนั้นมันสำคัญ แต่เราเองก็คงไม่รู้หรอกว่า รอยสักพวกนั้นมันสำคัญต่อตัวผู้สักขนาดไหน ดังนั้นในครั้งนี้เราจึงจะขอพาทุก ๆ คนไปพบกับเรื่องราวของ รอยสักที่บันทึกเรื่องราวอันมีความหมายต่อชีวิต กัน ซึ่งแต่ละลวดลายของรอยสักนั้นจะมีความหมายอันลึกซึ่งขนาดไหน เอาเป็นว่า เราไปเริ่มต้นเรื่องราวในครั้งนี้กันเลยดีกว่า
รอยสักของชื่อยาที่แพ้
แน่นอนว่าหลาย ๆ คนมีอาการแพ้ แต่ทว่าการแพ้ที่อันตรายต่อชีวิตนั่นก็คืออาการแพ้ยานั่นเอง โดยหญิงสาวคนหนึ่งได้เริ่มรอยสักนี้มาจากการที่ตัวของเธอนั้นเป็นคนที่แพ้ง่าย โดยเธอแพ้มันเกือบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นฝุ่น หรือ เหงื่อ จนทำให้ร่างกายของตัวเองผื่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งบางครั้งอาการแพ้ของเธอมันก็หนักถึงขนาดที่ทำให้เธอมีอาการแน่นหน้าอกจนต้องเข้าโรงพยาบาลเลยทีเดียว
นอกจากนั้นตัวของเธอยังแพ้กลุ่มยาเพนิซิลลินทั้งหมด จนล่าสุดที่เธอได้เข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัด เธอก็ได้แจ้งกับทางโรงพยาบาลแล้วว่าเธอนั้นแพ้ยาอะไรบ้าง แต่ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลจะให้ยาคนละกลุ่มกับเพนิซิลลินแล้ว แต่ทว่าก็ยังมียาบางตัวที่มีโครงสร้างเดียวกันกับยาที่เธอแพ้ จนทำให้เธอเกิดอาการแทรกซ้อนจนช็อก และเข้าขั้นเฉียดตายเลยทีเดียว
ซึ่งหลังจากรอดเหตุการณ์นั้นมาได้เธอก็เลยตัดสินใจสักเป็นชื่อยาที่เธอแพ้ เพื่อแก้ปัญหาเวลาที่ต้องไปหาหมอแล้วต้องพูดชื่อยายาก ๆ ยาว นอกจากนั้นรอยสักนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอในกรณีที่เธอเป็นลมหมดสติและไม่สามารถตื่นมาบอกได้ว่าเธอแพ้ยาอะไร
โดยรอยสักของเธอนั้นจะขึ้นต้นประโยคด้วย Attention please เพื่อให้คนที่เห็นรอยสักนี้สนใจ นอกจากนั้นรอยสักของเธอยังเว้นที่ว่างเอาไว้เพื่อไว้สำหรับสักชื่อยาที่อาจจะพบเจอว่าแพ้เพิ่มได้ในอนาคต ส่วนที่อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่เธอเลือกมาสักเพิ่มนั่นก็คือสัญลักษณ์ Bowl of Hygeia ซึ่งเป็นรูปที่เภสัชทั่วโลกรู้จัก เพื่อให้คนที่เห็นเข้าใจว่ารอยสักนี้เกี่ยวข้องกับยา
สามีภรรยาผู้สักวันครบรอบแต่งงานไว้บนนิ้วนางข้างซ้าย
โดยรอยสักนี้เป็นรอยสักแบบคู่ ซึ่งในสมัยก่อนฝ่ายชายนั้นเป็นคนที่ชอบถูกแซวว่าเหมือนกับผู้หญิง เนื่องจากเป็นคนที่ผอม
หน้าหวาน และ รูปร่างดูอ่อนแอ จึงทำให้เขานั้นรู้สึกว่าถ้ามีรอยสักบนร่างกายจะทำให้เขาดูแมนขึ้น ส่วนทางภรรยาของเขานั้นก็มีความชื่นชอบรอยสักอยู่แล้วเนื่องจากชอบวาดรูป และเมื่อทั้งคู่ได้คบกันทั้งคู่เลยอยากจะได้งานบางอย่างที่สร้างเองขึ้นมาอยู่บนตัว
และพวกเขาก็เลือกรอยสักคู่มาแทนแหวนแต่งงาน เพราะว่าพวกเขามองว่าแหวนเพชรแพง ๆ นั้นเป็นเพียงของนอกกาย แถมทั้งคู่ก็ค่อนข้างขี้ลืม จึงทำให้พวกเขาตัดสินใจสักคำว่า MARRIED และวันครบรอบไว้บนนิ้ว และเมื่อใช้รอยสักแทนแหวนแล้วมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวไปตลอดชีวิต และ ไม่มีวันลืม เนื่องจากมันไม่สามารถถอดออกได้เหมือนแหวน แต่ก็มีเรื่องฮา ๆ นั่นก็คือ ในตอนนั้นช่างสักของฝ่ายชายดันสักผิด จนทำให้ทั้งคู่ต้องหาสิ่งหาสัญลักษณ์มาแก้เพื่อให้เหมือนกัน
ข้อคิดเตือนใจให้รู้ว่าวันนี้ยังมีลมหายใจ
เรื่องราวของรอยสักอีกอันหนึ่งนั้นเกิดกับหญิงสาวที่ตอนนั้นเธอได้อาศัยอยู่กับที่ออสเตรเลียกับพ่อ แม่ ของเธอ แต่แล้ววันหนึ่งพ่อแม่ของเธอก็ถูกเรียกกลับมาทำงานที่เมืองไทย และทำให้เธอต้องเรียนในมหาวิทยาลัยที่นั่นคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก่อนที่พ่อแม่ของเธอจะกลับไป พวกเขาก็ได้ขอเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งสักกับเจาะจนกว่าอายุจะ 30 ปี แต่ทว่าเมื่อเข้ามาสู่สังคมมหาวิทยาลัยแล้วเธอก็พบว่าบรรดาเหล่าเพื่อน ๆ ของเธอแต่ละคนนั้น สักกันเต็มไปหมด เพราะว่ามหาวิทยาลัยที่เธอเรียนนั้นมันเกี่ยวกับด้านศิลปะนั่นเอง มันเลยทำให้เธอมักจะมองร้านสักทุก ๆ ครั้งเวลาที่เดินผ่าน
ต่อมาในช่วงอายุ 38 ปี ชีวิตของเธอก็เริ่มดิ่งลง จนทำให้เธอเริ่มหันไปอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้วันหนึ่งเธอก็ทนไม่ไหวและตัดสินใจไปสัก และรอยสักนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามร่างกายเธอเรื่อย ๆ โดยคอนเซ็ปต์ในการสักนั่นก็คือ ความสุข ความทุกข์ที่ผูกพันและแยกจากกันไม่ได้ โดยรอสักนี้จะอยู่ที่บริเวณข้อเท้าของเธอ เพราะการเดินไปทำอะไรสักอย่างนั้นย่อมมีความสุข และ ความทุกข์อยู่ด้วยกัน
และหลังจากนั้นตัวน้องสาวเธอก็ได้ชวนมาสักเป็นอีกหนึ่งประโยคนั่นก็คือคำว่า รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน โดยประโยคนี้เป็นหนึ่งประโยคที่คุณย่าของเธอชอบพูด และยังเป็นลายมือของคุณย่าของเธอที่อยู่บนหนังสืองานศพอีกด้วย มันจึงทำให้เธออยากสักลายนี้เพื่อเอาไว้เตือนตัวเองเวลาช้อปปิ้ง
และนี่ก็คือเรื่องราวของ รอยสักที่บันทึกเรื่องราวอันมีความหมายต่อชีวิต ที่เราได้เอามาฝากให้ทุก ๆ คนได้เรียนรู้กัน
ซึ่งบทความนี้ก็เป็นเหมือนกับสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าแม้รอยสักบางส่วนที่คุณเห็นกันด้วยสายตาเปล่ามันอาจจะไม่ดีลวดลายที่ซับซ้อนอะไรมากนัก แต่จริง ๆ แล้วความหมายที่แฝงอยู่ในพวกมันนั้นช่างลึกซึ้งเกินกว่าที่ตาเราเห็นเป็นอย่างมาก