เราเชื่อว่าในโลกใบนี้ทุก ๆ พื้นที่ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่เรียกว่าศิลปะเป็นส่วนประกอบ เพราะว่าเราจะสามารถเจอได้ทั้งศิลปะที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นจากระยะเวลาอันยาวนาน หรือจริง ๆ เราก็มีไม่ต้องมองไกลเพราะว่ายังมีศิลปะที่สร้างจากน้ำมือมนุษย์อีกหลากหลายอย่างที่รายล้อมตัวเราอยู่ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือแม้แต่ดีไซน์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้เห็นผ่านสายตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่แหละก็ล้วนเป็นศิลปะด้วยกันทั้ง และแน่นอนว่าเมื่อเว็บไซต์ของเราเป็นการพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับรอยสัก ดังนั้นเราจะไม่บอกว่า รอยสัก ที่สลักคงทนอยู่บนร่างกายเรานั้นจะไม่ใช่ศิลปะก็คงไม่ได้
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของรอยสักในสมัยก่อนนั้นมันจะเป็นสิ่งที่เคยใช้สำหรับการแบ่งฐานะของคนในสังคม แต่ทว่าเมื่อกาลเวลาเปลี่ย ทุก ๆ อย่างเองก็ได้ย่อมมีการเปลี่ยนไปตามเช่นกัน ซึ่งรอยสักที่เคยถูกมีไว้เพื่อแบ่งชนชั้นก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นอีกหนึ่งศิลปะที่ใช้สำหรับการแสดงถึงจิตวิญญาณ และ สะท้อนตัวตนของคน ๆ นั้นออกมาได้นั่นเอง และแน่นอนว่าเมื่อมันเป็นงานศิลปะดังนั้นรอยสักต่าง ๆ เองมันก็เปรียบเสมือนกับอีกหนึ่งลายเซ็นที่สามารถบ่งบอกตัวของช่างสักคนนั้น ๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งรอยสักแต่ละลายนั้น มันจะสะท้อนตัวตนของช่างสักออกมาได้อย่างไร เอาเป็นว่า เดี๋ยววันนี้เราจะไปดูกัน
การสะท้อนตัวตนแรกของช่างสัก และ รอยสักก็คือ เข็มแรกของช่างสัก ซึ่งแน่นอนแหละว่าหลาย ๆ คน
น่าจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า รอยสัก นั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่แก้ยากเนื่องจากมันจะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปอจนตายเลยนั่นเอง ซึ่งแน่นอนแหละว่ามันจึงทำให้บรรดาเหล่าช่างสักหน้าใหม่ที่คิดจะเข้าสู่วงการรอยสักหลาย ๆ คนต่างก็จะต้องเริ่มลองทดสอบฝีมือกับวัสดุอื่น ๆ ที่มีสัมผัสใกล้เคียงกับผิวหนังของมนุษย์กันก่อน โดยส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกเทสฝีมือกกับ รองเท้าฟองน้ำ , หนังหมู หรือ หนังเทียมกันก่อน
ซึ่งหลังจากที่ช่างสักแต่ละคนฝึกฝีมือกับสิ่งเหล่านี้จนชิงมอได้แล้ว ช่างสักเหล่านี้ก็จะถึงเวลาที่จะลงสนามจริง แต่ทว่าก็ไม่ครวที่จะเริ่มจากการสักรอยสักที่ซับซ้อนจนเกินไป โดยส่วนใหญ่ช่างมือใหม่ควรจะเริ่มกับการสักลดวลายแนว Tribal หรือ แนวชนเผ่าเสียก่อน เนื่องจากรอยสักในประเภทนนี้เป็นรอยสักที่มีรายละเอียดไม่มาก และ ยังมีรูปแบบที่ค่อนข้างชัดเจน และหลังจากที่ตัวของพวกเขาสามารถสักรอยสักเหล่านี้ได้ชำนาญ พวกเขาก็ค่อยขยับขึ้นไปสักรูปแบบอื่น ๆ ตามที่พวกเขาสนใจก็ไม่เสียหาย
การสะท้อนตัวตนของช่างสัก และ รอยสัก อย่างต่อมานั่นก็คือ เข็มที่แสดงถึงตัวตนขอช่าสัก ซึ่งแน่นอนแหละว่าสิ่งนี้เป็นอีกสึ่งหนึ่งที่ตามมาหลังจากที่ช่างสักหลาย ๆ คนนได้ผ่านพ้นการเริ่มสักบนร่างกายคนจริง ๆ เข็มแรกมาแล้ว ซึ่งแต่ละเข็ม แต่ะละ
รอยสักนั้นล้วนแล้วแต่ได้สร้างประสบการณ์ความยาก มากน้อยต่างกันให้คนช่างสัก แต่ในทุก ๆ ประสบการณ์
นั้นมันก็เปรียบเสมือนกับชั่วโมงบินที่ช่างสักแต่ละคนได้รับมา และประสบการณ์ที่ได้รับการจากการสักเหล่านั้น มันจะค่อย ๆ หล่อหลอมให้ช่างสักคนนั้นเริ่มค้นพบสิ่งที่เรียกว่าเป็นลายเซ็นของตัวเอง
ซึ่งช่างสักแต่ละคนอาจจะค่อย ๆ เริ่มใส่ไอเดีย และ จินตนการของตนเองผสมผสานไปไว้ในงานของตัวเอง ซึ่งแน่นอนแหละว่ารอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ของช่างสักแต่ละคนก็ใช่ว่าจะเลียนแบบกันง่าย ๆ เพราะเพียงแค่การเดินเส้น การลงเข็ม รวมถึงความหนักเบา และความรุนแรง หรือ อ่อนช้อย ของเงานแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกันอย่างมากมายมหาศาลแล้วนั่นเอง
การสะท้อนตัวตนของช่างสัก และ รอยสัก อย่างต่อมานั่นก็คือ การเข็มที่ขยับไปตามหัวใจของตัวเอง ซึ่งอย่างที่เรารู้กันอยู่ว่ารอยสักสวย ๆ ที่เห็นอยู่บนร่างกายเรานั้น มันมาพร้อมกับฝีมือของช่างสักคนนั้น ๆ อยู่แล้ว แต่ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาของช่างสักนอกจากฝีมือนั่นก็คือ อารมณ์ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นรอยสักอะไรก็ตามแต่ ช่างสักแต่ละคนมักจะอิน และ หมกมุ่นไปกับ
รอยสักนั้น ๆ ด้วย และบางครั้งเองอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ก็ยากที่จะสลัดทิ้งไม่ต่างอะไรกับนักแสดงเก่ง ๆ ที่สามารถเข้าถึงบทบาที่ตัวเองได้รับจนบางครั้งก็แยกตัวละคร กับ ชีวิตความเป็นจริงไม่ออก
จึงทำให้มีช่างสักหลาย ๆ คนเองก็เคยปฏิเสธรอยสักที่มันค่อนข้างจะคัดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอยู่บ้างเช่นการสักรอยพระที่เผาตัวเองเพื่อเรียกร้องสิทธิในเวียนดนาม ซึ่งแม้ว่ามันจะเป็นภาพรอยสัก และ บริบท ที่แสดงถึงอะไรค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าหากช่างสักไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของภาพนี้ได้ มันก็เท่ากับว่าช่างสักคนนั้นก็ไม่อาจที่จะสร้างผลงานออกมาได้ดี ดังนั้นถ้าช่างสักคนไหนปฏิเสธงาน คุณจงรู้ว่าว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธเพราะมันเป็นงานเล็กน้อย แต่เหล่าช่างสักปฏิเสธเพราะเขาก็เหมือนกับศิลปินที่ไม่อยากสร้างสรรค์ผลงานแบบนั้นออกมานั่นเอง
การสะท้อนตัวตนของช่างสัก และ รอยสัก อย่างต่อมานั่นก็คือ การทำเข็มให้สะอาด โดยหลาย ๆ คน
อาจจะเคยได้ยินว่าในโลกใบนี้นั้นมีโรคที่ติดต่อผ่านทางเลือก และ แผลต่าง ๆ มากมาย ซึ่งแน่นอนว่าการสักนั้นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ต้องยุ่งกับเลือด และทำให้เกิดบาแผลบนร่างกาย ดังนั้นมันจึงไม่แน่ใจเลยว่า การทำเข็ม รวมถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สะอาดนั้นมันจะเป็นการสะท้อนถึงตัวตนช่างสักคนนั้น ๆ ขนาดไหน เพราะว่ามันแสดงให้เห็นถึงการใส่ใจในทุก ๆ ขั้นตอน ทุก ๆ รายละเอียด แถมมันก็ยังสร้างภาพลักษณ์ให้ช่างสักคนนั้นดูมีความเป็นมืออาชีพได้มากอีกด้ย ซึ่งแน่นอนแหละว่าต่อให้เป็นช่างสักที่มีฝีมือการสักฉกาจขนาดไหน แต่ถ้าคุณไปเจอห้องสักที่ไม่สะอาด และ ดูไม่ถูกสุขลักษณะ คุณเองก็คงที่จะยอมถอยออกมาใช่ไหมละ
การสะท้อนตัวตนของช่างสัก และ รอยสัก อย่างต่อมานั่นก็คือ เข็มที่เชื่อความผูกพัน ซึ่งการสักนั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ค่อนข้างจะมีความใกล้ชิด และ มีปฏิสัมพันธ์ใกล้กับลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าคงไม่มีใครหรอกที่จะตั้งหน้า ตั้งตา สักเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่พูดคุยกับลูกค้าเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วการที่ช่างสักได้พูดคุยกับลูกค้าระหว่างที่ทำการสร้างรอยสักบนร่างกายลูกค้านั้น ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการผ่อนคลาย นอกจากนั้นแล้วทุก ๆ ครั้งที่มันมีการสนทนาเกิดขึ้น มันก็เท่ากับว่ามันมีการแลกเปลี่ยประสบการณ์ต่าง ๆ ให้กันและกันนั่นเอง
การสะท้อนตัวตนของช่างสัก และ รอยสัก อย่างต่อมานั่นก็คือ การสะท้อนถึงความผูกมัดหน้าที่ของช่างสัก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า อาชีพของการเป็นช่างสักนั้นมีอิสระ และ สามารถเลือกช่วงเวลาในการทำงานของตนเองเป็นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความคิดนั้นไม่ได้ถูกต้องเลย เพราะว่าตัวของช่างสักเองก็มีเวลาเข้าออกงานเหมือนกับอาชีพอื่น ๆ ในสังคม แถมอาชีพช่างสักยังเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ต้องนั้งอยู่ในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน ๆ แถมถ้าอาชีพอื่นมีการทำงานนอกเวลาอย่าง OT อาชีพช่างสักเองก็มี OT เช่นกัน เพราะบางครั้งพวกเขาก็ต้องเอาสมองไปคิดลายสักของลูกค้านอกเวลา รวมถึงฝึกวาดลายสักต่อนั่นเอง
การสะท้อนตัวตนของช่างสัก และ รอยสัก อย่างต่อมานั่นก็คือ การสร้างสรรค์ลวดลายที่แตกต่าง โดยการสร้างรอยสักนั้นถือได้ว่าเนอีกหนึ่งความชอบที่เฉพาะกลุ่ม และแน่นอนว่าคนแต่ละกลุ่มเองก็มีความชื่นชอบแตกต่างกันไป ดังนั้นการจะจำกัดกรอบ หรือ ทิศทางให้บรรดาเหล่าช่างสักจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก แถมช่างสักแต่ละคนเองก็มีวิธีการแสดงความเป็นตัวตนแตกต่างกันไป