สารบัญ ลายสัก รอยสัก

เพราะอะไรทำไมรอยสักถึงไม่เคยหายไปจากร่างกาย

Aquaphor for Tattoos: Is This Recommended for Aftercare?

เชื่อว่าหลาย ๆ คนก่อนที่จะเริ่มมีรอยสักอยู่บนร่างกายนั้น หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินประโยคอย่างเช่น ให้คิดดี ๆ ก่อน เพราะรอยสักจะอยู่กับเราไปจนชั่วชีวิต ซึ่งแน่นแหละว่าประโยคนนี้มันเป็นประโยคที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าอย่างที่เราทราบกันดีว่า รอยสัก คือศิลปะชนิดหนึ่งที่จะเป็นการใช้หมึกสีต่าง ๆ สลักลงไปบนผิวหนังของเรา และ ทำให้ลายนั้นมันติดคงทนถาวรแม้ว่าเราจะสิ้นอายุขัยไปแล้วก็ตามที 

ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากคำเตือนนั้นบางคนก็ตัดสินใจเดินหน้าสักต่อไป หรือ บางคนก็อาจจะที่ยอมถอยหลังกลับมาคิดใหม่ แต่ทว่า มีใครเคยลองคิดบ้างไหมว่า เพราะอะไร ทำไมรอยสักถึงกลายเป็นสิ่งที่ติดอยู่บนร่างกายของเราอย่างคงทนถาวร และลบออกค่อนข้างยาก ซึ่งถ้าใครอยากรู้คำตอบเหล่านั้น เดี๋ยววันนี้เว็บไซต์ของเราจะมาเล่าถึงเรื่องราวว่า เพราะอะไรรอยสักถึงไม่หายไปจากร่างกายให้ฟังกัน ซึ่งถ้าพร้อมแล้ว เราไปเริ่มกันเลยดีกว่า

และเมื่อรอยสักทั้งหมดมันคือศิลปะที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของร่าง อย่างแรกที่เราจะต้องไปทำความเข้าใจนั่นก็คือ โครงสร้างของระบบผิวหนังมนุษย์ โดยผิวหนังมนุษย์เรานั้นจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 ชั้น นั่นก็คือชั้นที่เรียกว่า หนังกำพร้า หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า epidermis โดยผิวหนังบริเวณนี้จะหลุดลอกออกตลอดเวลาแม้ว่าคุณจะไม่ได้สังเกตอะไรมากนักก็ตามที ส่วนอีกสั้นหนึ่งนั้นจะถูกเรียกว่า ชั้นหนังแท้ หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า dermis ซึ่งชั้นนนี้จะเป็นชั้นที่คงทนถาวรไม่มีการหลุดลอก และ จะเป็นชั้นที่ประกอบไปด้วยต่อมเหงื่อ เส้นประสาท เส้นเลือด และที่สำคัญที่สุดก็คือ เม็ดเลือดขาว หรือ macrophage ซึ่งไอ้เจ้าเม็ดเลือดขาวนี่แหละที่กลายมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รอยสักนั้นไม่มีวันลบได้SMAS คืออะไร? ทำไมเราต้องยกกระชับถึงชั้น SMAS มีความสำคัญอย่างไร

เอาละหลังจากที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับชั้นของผิวหนังไปแล้ว ทีนี้เราก็มาเข้าสู่กระบวนการต่อไปนั่นก็คือการสร้างรอยสัก 

โดยหลาย ๆ คนน่าจะรู้กันดีกว่าวิธีการสร้างรอยสักนั่นก็คือ การเอาเข็มจุ่มกับน้ำหมึกแล้วแทงเข้าไปให้ลึกถึงผิวหนังแท้เพื่อที่จะสลักน้ำหมึกเอาไว้ แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ถูกต้องซะทีเดียว เพราะวิธีการสร้างรอยสักมันกลับเริ่มต้นหลังจากนั้น เพราะว่าหลังจากที่เข็มแทงเข้าไปยังชั้นหนังแท้แล้ว เวลาถอนเข็มออกมาน้ำหมึกที่อยู่ในเข็มก็จะไหลลงไปติดอยู่ในรูที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าใครงง เราจะอธิบายเป็ยภาพคร่าง ๆ ให้ฟัง ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณเดินไปเหยีบโคลนนิ่ม ๆ พอเรายกเท้าออก น้ำที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็จะไหลลงไปรอยเท้าของเราที่สร้างไว้ในโคลนนั่นเอง

และแน่นอนว่าเมื่อกระบวนการสร้างรอยสักเกิดขึ้นโดยใช้หลักการนั้น มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าบรรดาเหล่าช่างสักทั้งหลายนั้นจะบอกคุณเป็นเสียงเดียวกับว่า การสักบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่นิ่มเช่น ลำตัว แขน หรือ น่อง นั้น มันจะสามารถสักได้ง่ายกว่าบริเวณที่แข็ง และติดส่วนกระดูก อย่างเช่น หน้าแข้ง หรือ ใบหน้า เพราะว่าผิวหนังส่วนที่นิ่มก็ไม่ต่างอะไรกับโคลนนิ่ม ๆ ที่เราสามารถจะกดให้หมึกซึมลึกไปได้ง่ายกว่านั่นเอง

ซึ่งเมื่อคุณมาสักใหม่ ๆ  คุณก็จะพบว่ารอยสักที่ได้นั้นจะมีลักษณะที่เข้มมาก ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปสัก 1 สัปดาห์รอยสักนั้นก็จะค่อย ๆ จางลง และพอผ่านไปสัก 2 – 3 เดือน รอยสักนั้นจะก็มีความคมของเส้น และ สีสันที่ลดลงไม่เหมือนกับตอนแรกที่เราสักนั่นเอง ตอนนี้มันก็น่าจะเกิดคำถามแล้วว่าในเมื่อมันเป็นการสักลงไปในชั้นผิวแท้แล้วทำไมหมึกถึงจางลงได้ คำตอบนั่นก็คือ

การสักนั้นจะทำให้หมึกติดอยู่ในผิวหนัง 2 ชั้น นั่นก็คือ ชั้นหนังแท้ และ ชั้นหนังกำพร้า แต่หลังจากนั้นช่วงเวลาหนึ่งอย่างที่เราบอกไว้ว่า ชั้นหนังกำพร้าจะมีการหลุดลอกออกตลอดเวลา จึงทำให้เมื่อเวลาผ่านไป หมึกที่ติดอยู่ร่วมกับชั้นผิวหนังกำพร้าก็ลอกหลุดออกไปพร้อมกับการผลัดเปลี่ยนเซลล์ของร่างกาย จึงทำให้รอยสักมีความจางลง โดยสีของรอยสักที่เราเห็นอยู่บนร่างกายนั้นจะเป็นสีที่ติดอยู่บนชั้นผิวหนังแท้นั่นเอง

และเมื่อกี้ในช่วงตอนต้นที่เราได้ย้ำทุกคนเอาไว้ว่ายังมีอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยในกระบวนการนี้นั่นก็คือ เม็ดเลือดขาว หรือ macrophage ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวนี้จะมีอยู่ในเนื้อเยื้อต่าง ๆ ของร่างกาย และ แน่นอนว่ามันรวมไปถึงการมีใต้ชิ้นผิวหนัง What's with those messy, deliberately weird tattoo styles that are gaining  popularity? | CBC Arts

ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ ของเม็ดเลือดขาวนั้นก็คือ การดักทำลายสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้ามาภายในหน้าร่างกาย ซึ่งอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนพอจะทราบกันดี ที่หน้าที่ของเม็ดเลือดขาวนั้นยังมีอีกอย่างนั่นก็คือ มันจะสามารถทำหน้าที่กินเศษเซลล์ที่ตายไปแล้วอีกด้วย ซึ่งกระบวนนี้ทางชีวะจะถูกเรียกว่า phagocytosis ดังนั้นการเอาเข็มจุ่มน้ำหมึก และ แทงเข้าไปสู่ชั้นใต้ผิวหนังเพื่อสร้างรอยสักนั้น มันก็เปรียบเสมือการเอาน้ำหมึกที่เป็นสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย และ นั่นแองก็ทำให้บรรดาเหล่าเม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่นี้ ต้องออกโรงมาจัดการกับน้ำหมัก รวมถึง เศษเซลล์ต่าง ๆ ที่บาดเจ็บจากผลกระทบของการสัก

โดยตอนแรกหลังจากการสร้างรอยสักให้กับร่างกายนั้น น้ำหมึกที่เข้าไปอยู่ในชั้นผิวหนังแท้จะถูกกินโดยเซลล์ที่ชื่อว่า fibroblast และ macrophage แต่แน่นอนแหละว่าทั้ง 2 เซลล์นี้มาอาจที่จะทำลายทั้งหมดได้ภายในครั้งแรก ดังนั้นเมื่อเซลล์ชุดแรกตายลง

ทั้ง fibroblast และ macrophage ชุดใหม่ก็จะเข้าทำหน้าที่แทน แต่ทว่ามันจะมีหน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่เพิ่มขึ้นมานั่นก็คือ พวกมันจะต้องทำลาย fibroblast และ macrophage ชุดเก่าที่ตายลงไปแล้วด้วยนั่นเอง และพอทำลายเจ้าเซลล์เดิมทั้ง 2 ตัว น้ำหมึกที่เซลล์ชุดแรกได้ทำลายไปก็ถูกปล่อยคืนออกมา และหลังจากนั้นกระบวนการนี้ก็จะเลิกวนเวียนซ้ำ ๆ นานหลายปี และนี่คือสาเหตุที่ทำให้รอยสักนั้นไม่มีวันหาย แต่ยังมีโอกาสจางลงนั่นเอง

Ink positive: how tattoos can heal the mind as well as adorn the body |  Psychology | The Guardian

เอาละเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะแอบเถียงในใจกันอยู่เบา ๆ แล้วละว่า จริง ๆ แล้วรอยสักนั้นมันไม่อยู่ติดคงทงถาวรตลอดไปหรอก เพราะว่าในปัจจุบันนี้มันมีเทคโนโลยใหม่เข้ามาอย่าง เทคโนโลยีลบรอยสัก ซึ่งเราไม่เถียงว่าในปัจจุบันนั้นมีเทคโนโลยีแบบนั้นจริง ๆ แต่ถ้าใครเคยสักมาแล้ว การจะไปลบรอยสักนั้นมันเจ็บปวดยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า 

โดยอย่างที่เราบอกไปว่าการสร้างรอยสักนั้นคือการเอาน้ำหมึกที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ให้ไปติดอยู่บริเวณใต้ชั้นหนังแท้แบบกำจัดไม่ออก ดังนั้นการที่จะทำลายรอยสักได้นั้นก็คือการทำให้น้ำหมึกที่ฝังอยู่ในชั้นหนังแท้แตกออกเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ นั่นเอง 

และเมื่อน้ำหมึกเหล่านั้นแตกออกเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ไอ้เจ้าเม็ดเลือดขาวอย่าง fibroblast และ macrophage ที่ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ก็จะสามารถบุกเข้าโจมตีน้ำหมึกโมเลกุลเล็ก ๆ เหล่านั้นได้เสียที ซึ่งหลังจากที่ fibroblast และ macrophage สามารถเข้าทำลายโมเลกุลที่เล็กลงของน้ำหมึกได้แล้วพวกมันก็จะกำจัดออกจากไปทางตับ และ ไต ของผู้สักนั่นเอง

ส่วนถ้าถามว่ารอยสักแบบไหนที่สามารถลบออกได้ง่ายที่สุด คำตอบนั่นก็คือรอยสักที่เกิดขึ้นจากหมึกสีดำ เพราะว่าตามทฤษฎีแล้วสีดำนั้นคือ สีที่สามารถดูดกลืนแสดงได้ดีที่สุด และทำให้เวลาฉายแสงเลเซอร์เพื่อลบรอยสักนั้น สีดำจะทำการดูดซับพลังงานมากกว่าสีอื่น และ แตกตัวออกเร็วกว่านั่นเอง จึงทำให้ส่วนใหญ่แล้วการลบรอยสักที่เป็นสีดำจะสามารถทำได้ง่ายกว่าการลบรอยสักที่เป็นสีนั่นเอง

รู้แบบนี้แล้ว เราก็อยากจะคอแนะนำให้ใครที่กำลังคิดจะมีรอยสักแรกสักรอยในชีวิตอยู่นั้น อย่างให้ลองหาคำตอบกับตัวเองให้ดี ๆ ว่า รอยสักเหล่านี้จะส่งผลต่อชีวิตคุณมากขนาดไหน

ลายสัก HOT

บทความลายสักล่าสุด

หมวดหมู่ลายสัก

สารบัญ ลายสัก รอยสัก